ท่ามกลางแสงเทียนและบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองเทศกาลออกพรรษา “ตะดิ่งจุ๊ต” อันศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธในพม่า เสียงสวดมนต์กลับถูกแทนที่ด้วยเสียงกรีดร้องและเสียงระเบิดที่ดังกึกก้อง เมื่อวัตถุระเบิดแสวงเครื่องถูกทิ้งลงมาจากฟากฟ้าโดย “พารามอเตอร์” สังหารพลเรือนผู้บริสุทธิ์ไปอย่างน้อย 24 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 40 คน ในพื้นที่ภาคสะกาย เหตุการณ์ ทิ้งระเบิดในพม่า ครั้งล่าสุดนี้ ไม่ใช่แค่โศกนาฏกรรมนองเลือดที่น่าสะเทือนใจ แต่เป็นจุดเปลี่ยนที่น่าสะพรึงกลัวของ สงครามกลางเมืองพม่า ที่ซึ่งนวัตกรรมสงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare) ราคาถูกได้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นอาวุธสังหารหมู่พลเรือนอย่างโจ่งแจ้ง การโจมตีครั้งนี้สะท้อนถึงการทวีความรุนแรงของความขัดแย้งที่ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ใดๆ หลงเหลือ และเป็นสัญญาณอันตรายถึงอนาคตที่มืดมนของความพยายามสร้างสันติภาพในประเทศที่โลกลืมแห่งนี้
ภาพสยองกลางแสงเทียนแห่งเทศกาลตะดิ่งจุ๊ต
เกิดอะไรขึ้นในเทศกาลตะดิ่งจุ๊ตที่พม่า? เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงค่ำของวันที่ 8 ตุลาคม 2568 ซึ่งเป็นวันสำคัญของเทศกาลตะดิ่งจุ๊ต (Thadingyut Festival of Lights) ชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของภาคสะกาย (Sagaing Region) ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหาร กำลังรวมตัวกันทำบุญและชมการแสดงมหรสพบริเวณลานวัด รายงานจากผู้เห็นเหตุการณ์และสื่อท้องถิ่นอย่าง The Irrawaddy และ Myanmar Now ระบุว่า
- เสียงจากฟากฟ้า ผู้คนได้ยินเสียงคล้ายเครื่องตัดหญ้าบินอยู่เหนือบริเวณงาน แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเป็นภัยคุกคาม เนื่องจากเป็นเสียงที่แตกต่างจากเครื่องบินรบหรือเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพ
- วินาทีแห่งความตาย หลังจากนั้นไม่นาน วัตถุระเบิดอย่างน้อย 2 ลูก ถูกทิ้งลงมาใจกลางฝูงชน แรงระเบิดได้เปลี่ยนลานวัดที่เคยสว่างไสวให้กลายเป็นทะเลเลือดและเปลวไฟในพริบตา
- เหยื่อคือผู้บริสุทธิ์ ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เด็ก และคนชรา ที่มาร่วมงานบุญตามประเพณี ภาพความโกลาหลหลังเกิดเหตุที่ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียแสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของการโจมตีครั้งนี้อย่างชัดเจน
สงครามแห่งการกล่าวหา “ฝีมือ PDF” หรือ “ละครฉากใหญ่ของกองทัพ”?
ทันทีหลังเกิดเหตุ สงครามโฆษณาชวนเชื่อก็ได้เริ่มต้นขึ้นทันที ใครเป็นผู้ก่อเหตุทิ้งระเบิดในพม่า? กลายเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนและตรวจสอบได้
- คำประกาศของรัฐบาลทหารพม่า โฆษกของ สภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) ได้ออกแถลงการณ์ผ่านสื่อของรัฐ ประณามการกระทำดังกล่าวว่าเป็น “การก่อการร้ายที่ขี้ขลาดและไร้มนุษยธรรม” โดยกล่าวหาว่าเป็นฝีมือของ กองกำลังพิทักษ์ประชาชน (PDF) ที่ต้องการสร้างความหวาดกลัวและสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ซึ่งเป็นชาวพุทธ เพื่อทำลายภาพลักษณ์ของกองทัพ
- คำปฏิเสธของฝ่ายต่อต้าน ในทางกลับกัน รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) ซึ่งเป็นรัฐบาลเงาของฝ่ายประชาธิปไตย ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง โดยระบุว่า PDF ไม่มีนโยบายโจมตีเป้าหมายพลเรือน และชี้ว่าเหตุการณ์นี้อาจเป็น “ปฏิบัติการธงปลอม” (False Flag Operation) ที่กองทัพของ มิน อ่อง หล่าย สร้างสถานการณ์ขึ้นมาเอง เพื่อทำลายความชอบธรรมของฝ่ายต่อต้านในสายตาชาวโลกและชาวพุทธในประเทศ
ในภาวะที่สื่ออิสระถูกปราบปรามอย่างหนักและการเข้าถึงพื้นที่เป็นไปอย่างจำกัด การตรวจสอบข้อเท็จจริงจากฝ่ายที่เป็นกลางจึงแทบเป็นไปไม่ได้
นวัตกรรมสงครามราคาถูก จากโดรนเกษตรสู่ “พารามอเตอร์” สังหารหมู่
ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ลงมือ สิ่งที่น่าตกใจและเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญคือ “วิธีการ” ที่ใช้ในการโจมตี
- วิวัฒนาการของสงครามโดรน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฝ่าย PDF ได้แสดงให้เห็นถึงความชาญฉลาดในการทำสงครามอสมมาตร โดยการดัดแปลง โดรนทิ้งระเบิด ที่ผลิตเพื่อการเกษตร ให้สามารถบรรทุกและทิ้งลูกระเบิดขนาดเล็กได้อย่างแม่นยำ ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับฐานที่มั่นและขบวนรถของกองทัพพม่าได้อย่างมหาศาล
- “พารามอเตอร์” ก้าวต่อไปที่น่าสะพรึงกลัว การใช้พารามอเตอร์ (Paramotor) ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วคือร่มร่อนที่ติดเครื่องยนต์ ถือเป็นการยกระดับที่น่ากังวลอย่างยิ่ง เพราะ
- บรรทุกได้มากกว่า พารามอเตอร์สามารถบรรทุกน้ำหนักได้มากกว่าโดรนขนาดเล็กหลายเท่า หมายความว่าสามารถทิ้งระเบิดที่มีขนาดใหญ่และมีอานุภาพทำลายล้างสูงกว่าได้
- บินได้ไกลและนานกว่า มีพิสัยการบินที่ไกลกว่าและอยู่ในอากาศได้นานกว่า ทำให้สามารถปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายที่อยู่ลึกเข้ามาได้
- ตรวจจับได้ยากและราคาถูก มันบินในระดับต่ำ, เคลื่อนที่ช้า และมีเสียงที่ไม่เหมือนอากาศยานทางทหาร ทำให้ระบบเรดาร์ตรวจจับได้ยาก และที่สำคัญคือมันเป็นอุปกรณ์ที่มีราคาถูกและหาซื้อได้ทั่วไป
การใช้พารามอเตอร์เป็นเครื่องมือในการทิ้งระเบิดใส่พลเรือน จึงเป็นการเปิดศักราชใหม่ของ “การก่อการร้ายราคาถูก” ที่สามารถสร้างความเสียหายรุนแรงเทียบเท่ากับการโจมตีทางอากาศของกองทัพได้
การล่มสลายของกฎเกณฑ์สงคราม เมื่อพลเรือนไม่ใช่แค่ “ความเสียหายข้างเคียง”
การโจมตีพลเรือนในพม่าส่งผลกระทบอย่างไร? มันได้ทำลายเส้นแบ่งสุดท้ายของความเป็นมนุษย์ในความขัดแย้งครั้งนี้
- อาชญากรรมสงคราม การจงใจโจมตีพลเรือนและสถานที่ทางศาสนา ถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง และเข้าข่ายการเป็น อาชญากรรมสงคราม
- ประวัติศาสตร์ที่ซ้ำรอย กองทัพพม่ามีประวัติที่โหดร้ายในการใช้กำลังทางอากาศโจมตีเป้าหมายพลเรือนมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการทิ้งระเบิดใส่คอนเสิร์ตของกลุ่มชาติพันธุ์ในรัฐคะฉิ่น หรือการโจมตีโรงเรียนในภาคสะกาย แต่การโจมตีเทศกาลทางพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาหลักของประเทศ ถือเป็นการกระทำที่อุกอาจอย่างยิ่ง
- ความโหดร้ายที่ทวีคูณ ในขณะเดียวกัน หากการโจมตีครั้งนี้เป็นฝีมือของฝ่ายต่อต้านจริง ก็จะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงทางยุทธวิธีที่น่ากังวล ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งที่ยืดเยื้อได้ผลักดันให้พวกเขาต้องหันไปใช้วิธีการที่โหดเหี้ยมไม่ต่างจากฝ่ายตรงข้าม เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง
ไม่ว่าใครคือผู้กระทำผิด ผลลัพธ์สุดท้ายคือการที่พลเรือนกลายเป็นเป้าหมายหลักในการทำสงคราม ไม่ใช่แค่ “ความเสียหายข้างเคียง” (Collateral Damage) อีกต่อไป
บทสรุป พม่าในเกลียวมรณะที่ดำดิ่งสู่ความป่าเถื่อน
ทำไมสงครามในพม่าถึงทวีความรุนแรงขึ้น? เหตุการณ์ทิ้งระเบิดเทศกาลตะดิ่งจุ๊ตคือคำตอบที่ชัดเจนที่สุด มันคือผลลัพธ์ของความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ, การแทรกแซงจากนานาชาติที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง (โดยเฉพาะบทบาทของอาเซียน), และการที่ทั้งสองฝ่ายต่างเชื่อว่าชัยชนะทางทหารคือทางออกเดียวที่เหลืออยู่
โศกนาฏกรรมครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนภัยถึงประชาคมโลกว่า สถานการณ์ล่าสุดในพม่า กำลังดำดิ่งลงสู่ภาวะสงครามเต็มรูปแบบที่ป่าเถื่อนและไร้การควบคุม นวัตกรรมที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อการสันทนาการกำลังถูกใช้เป็นอาวุธสงคราม และประเพณีทางศาสนาที่งดงามได้กลายเป็นฉากหลังของการสังหารหมู่
ตราบใดที่โลกยังคงเบือนหน้าหนี และปล่อยให้คู่ขัดแย้งยกระดับความรุนแรงต่อไปโดยไม่มีใครต้องรับผิดชอบ โศกนาฏกรรมเช่นนี้ก็จะยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเปลวเทียนแห่งเทศกาลตะดิ่งจุ๊ต ก็จะถูกดับลงด้วยเปลวไฟแห่งสงครามและความเกลียดชังครั้งแล้วครั้งเล่า
แหล่งที่มาจาก : am2con