จุดเปลี่ยนโลกดิจิทัล ถอดรหัส “เดนมาร์กแบนโซเชียลมีเดีย” สงครามครั้งใหม่กับ Big Tech ที่เดิมพันด้วยสุขภาพจิตของคนทั้งรุ่น

เดนมาร์กแบนโซเชียลมีเดีย

เดนมาร์กแบนโซเชียลมีเดีย รัฐบาลเดนมาร์กภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเมตเต เฟรเดอริกเซน ได้จุดชนวนการถกเถียงครั้งใหญ่ระดับโลก ด้วยการประกาศแผนเสนอร่างกฎหมาย “แบน” การเข้าถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทุกรูปแบบสำหรับเด็กและเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี การเคลื่อนไหวที่แข็งกร้าวและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในยุโรปนี้ ถือเป็นการเดินตามรอยออสเตรเลียที่ได้ริเริ่มมาตรการลักษณะเดียวกันไปก่อนหน้า และไม่ได้เป็นเพียงนโยบายเดี่ยว แต่เป็น “ปรากฏการณ์โดมิโน” และการเปิดแนวรบใหม่ในการต่อสู้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี (Big Tech) มันสะท้อนถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ซึ่งรัฐบาลชาติตะวันตกกำลังเปลี่ยนท่าทีจากการ “กำกับดูแล” (Regulation) ที่ถูกมองว่าล้มเหลว ไปสู่การ “ตัดขาด” (Severance) ความสัมพันธ์ระหว่างแพลตฟอร์มกับผู้ใช้งานที่เปราะบางที่สุด นี่คือสมรภูมิครั้งประวัติศาสตร์ที่เดิมพันด้วย สุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น, อนาคตของ กฎหมายโซเชียลมีเดีย และอำนาจมหาศาลของ Big Tech

Denmark proposes banning social media for kids under 15 - ABC News

เดนมาร์กแบนโซเชียลมีเดีย “การทดลองทางสังคมที่ล้มเหลว” เหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจที่แข็งกร้าวของเดนมาร์ก

ทำไมเดนมาร์กถึงต้องการแบนโซเชียลมีเดียสำหรับเด็ก? คำตอบจากนายกรัฐมนตรี เมตเต เฟรเดอริกเซน (Mette Frederiksen) นั้นชัดเจนและทรงพลัง เธอกล่าวในการแถลงข่าว ณ กรุง โคเปนเฮเกน ว่า “เราได้ปล่อยให้คนทั้งเจเนอเรชันกลายเป็นหนูทดลองในห้องปฏิบัติการของบริษัทเทคโนโลยี และวันนี้ผลลัพธ์ของการทดลองนั้นได้ปรากฏออกมาแล้ว มันคืออัตราความวิตกกังวล, ภาวะซึมเศร้า และการทำร้ายตัวเองในหมู่วัยรุ่นที่พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ การทดลองทางสังคมครั้งนี้ล้มเหลวแล้ว และถึงเวลาแล้วที่สังคมจะต้องทวงคืนการควบคุมอนาคตของลูกหลานเรากลับมา”

เบื้องหลังวาทะที่แข็งกร้าวนั้น คือข้อมูลและสถิติที่น่ากังวลจากหน่วยงานสาธารณสุขของเดนมาร์ก

  • วิกฤตสุขภาพจิต รายงานล่าสุดชี้ว่าเด็กผู้หญิงชาวเดนมาร์ก 1 ใน 4 ที่มีอายุระหว่าง 15-19 ปี มีอาการของภาวะการกินที่ผิดปกติ (Eating Disorder) และมีอัตราการวินิจฉัยภาวะวิตกกังวลและซึมเศร้าในกลุ่มวัยรุ่นเพิ่มขึ้นกว่า 50% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
  • ไซเบอร์บูลลี่และการเสพติด การกลั่นแกล้งในโลกออนไลน์ หรือ ไซเบอร์บูลลี่ กลายเป็นปัญหาใหญ่ในโรงเรียน ขณะที่การออกแบบ อัลกอริทึม ของแพลตฟอร์มอย่าง TikTok และ Instagram ถูกกล่าวหาว่าจงใจสร้างการเสพติด (addiction by design) และนำเสนอเนื้อหาที่เป็นอันตราย เช่น ภาพร่างกายที่ไม่สมจริง หรือการส่งเสริมพฤติกรรมเสี่ยง
  • ผลกระทบต่อพัฒนาการ นักจิตวิทยาเด็กชี้ว่า การใช้เวลาบนหน้าจอมากเกินไปส่งผลกระทบโดยตรงต่อพัฒนาการทางสมอง, ทักษะการเข้าสังคม และคุณภาพการนอนหลับของเด็ก

รัฐบาลเดนมาร์กจึงสรุปว่า ผลกระทบของโซเชียลมีเดียต่อเด็ก นั้นรุนแรงเกินกว่าจะแก้ไขได้ด้วยมาตรการแบบเดิมๆ และจำเป็นต้องใช้ยาแรงอย่างการ “แบน” เพื่อสร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” ให้เด็กได้เติบโตโดยปราศจากอิทธิพลที่เป็นพิษเหล่านี้

สงครามสองด้าน เสียงสนับสนุนปะทะเสียงคัดค้านจากภาคส่วนต่างๆ

ข้อเสนอที่รุนแรงนี้ได้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ข้อดีข้อเสียของการจำกัดการเข้าถึงโซเชียลมีเดียของเด็กคืออะไร? กลายเป็นประเด็นถกเถียงที่ร้อนแรงที่สุด

ฝ่ายสนับสนุน – “ถึงเวลาปกป้องเด็กอย่างจริงจัง”

  • สมาคมผู้ปกครองและครู ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยมองว่าพ่อแม่และโรงเรียนได้ต่อสู้กับปัญหานี้ตามลำพังมานานเกินไป และการแทรกแซงของรัฐคือสิ่งจำเป็น
  • นักจิตวิทยาและแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตจำนวนมากชี้ว่า การลดการสัมผัสกับโซเชียลมีเดียในช่วงวัยรุ่นตอนต้น ซึ่งเป็นช่วงที่สมองกำลังพัฒนาและอ่อนไหวต่อการเปรียบเทียบทางสังคม จะส่งผลดีต่อสุขภาพจิตในระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ

Denmark proposes social media ban for under-15s - as PM hits out at 'monster' | Science, Climate & Tech News | Sky News

ฝ่ายคัดค้าน – “การแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุดและสร้างปัญหาใหม่”

  • บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ (Big Tech) บริษัทอย่าง Meta (เจ้าของ Facebook และ Instagram) และ TikTok ได้ออกมาแสดง “ความกังวล” ต่อข้อเสนอนี้ โดยแย้งว่ามาตรการแบนนั้น “ไม่สมส่วน” และจะเป็นการลงโทษแพลตฟอร์มทั้งหมด พวกเขาชี้ว่าบริษัทได้ลงทุนมหาศาลในเครื่องมือควบคุมโดยผู้ปกครองและระบบความปลอดภัยแล้ว และเสนอแนวทางการ “ทำงานร่วมกัน” แทนการสั่งแบน
  • กลุ่มสิทธิพลเมืองดิจิทัล องค์กรเหล่านี้แสดงความกังวลว่า กฎหมายนี้อาจเป็นการละเมิดสิทธิในการแสดงออกและการเข้าถึงข้อมูลของเยาวชน และที่สำคัญคือมันจะนำไปสู่ “ฝันร้ายด้านความเป็นส่วนตัว”
  • นักวิชาการบางส่วนและกลุ่มเยาวชน แย้งว่าการแบนจะไม่ได้ผลจริง เด็กๆ จะหาทางหลีกเลี่ยงด้วยการใช้ VPN หรือโกงอายุ ซึ่งจะผลักดันให้กิจกรรมของพวกเขาไปอยู่ “ใต้ดิน” ซึ่งตรวจสอบได้ยากและอาจอันตรายกว่าเดิม พวกเขาสนับสนุนการให้การศึกษาด้าน Digital Literacy ที่ดีกว่าแทนการสั่งห้าม

ความท้าทายระดับล้านล้าน “การยืนยันอายุออนไลน์” จะทำได้จริงหรือ?

คำถามที่ใหญ่ที่สุดและเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดคือ กฎหมายแบนโซเชียลมีเดียจะถูกบังคับใช้ได้อย่างไร? หัวใจของปัญหานี้อยู่ที่ การยืนยันอายุออนไลน์ (Online Age Verification) ซึ่งเป็นสิ่งที่ถกเถียงกันมานานแต่ยังไม่มีวิธีแก้ปัญหาที่สมบูรณ์แบบ

แนวทางที่เป็นไปได้และข้อเสีย

  1. การใช้เอกสารราชการ ผู้ใช้ต้องอัปโหลดบัตรประชาชนหรือสูติบัตรเพื่อยืนยันอายุ (แนวทางนี้สร้างความกังวลอย่างใหญ่หลวงเรื่องการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล)
  2. การใช้ระบบ Digital ID ของรัฐ ผูกบัญชีโซเชียลมีเดียเข้ากับระบบยืนยันตัวตนดิจิทัลของรัฐบาล (แม้จะปลอดภัยกว่า แต่ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการให้อำนาจรัฐในการสอดส่องชีวิตดิจิทัลของประชาชนมากเกินไป)
  3. เทคโนโลยีประมาณอายุจากใบหน้า (AI Facial Age Estimation) ใช้ AI วิเคราะห์ใบหน้าเพื่อประมาณอายุ (เทคโนโลยีนี้ยังมีความแม่นยำไม่ 100% และสร้างคำถามด้านชีวมิติและความเป็นส่วนตัว)

การบังคับใช้กฎหมายนี้ยังอาจขัดแย้งกับกรอบกฎหมายที่ใหญ่กว่าของสหภาพยุโรปอย่าง Digital Services Act (DSA) ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การกำกับดูแลเนื้อหาและการออกแบบอัลกอริทึม มากกว่าการแบนผู้ใช้งานตามอายุ

How will the federal government's under-16s social media ban work? Here's what we know - ABC News

ปรากฏการณ์โดมิโน จากออสเตรเลียสู่ยุโรปและทั่วโลก

การตัดสินใจของเดนมาร์กไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่เป็นส่วนหนึ่งของกระแสธารที่กำลังก่อตัวขึ้นทั่วโลก

  • ออสเตรเลีย รัฐบาลได้ผ่านกฎหมายลักษณะคล้ายกันเมื่อปีก่อน ซึ่งเป็น “โมเดล” ที่เดนมาร์กกำลังศึกษา โดยมีรายงานเบื้องต้นว่าส่งผลให้การใช้งานโซเชียลมีเดียในกลุ่มวัยรุ่นตอนต้นลดลงจริง แต่ก็มีปัญหาเรื่องการหลีกเลี่ยงกฎหมายเช่นกัน
  • ฝรั่งเศส ได้ออกกฎหมายที่บังคับให้แพลตฟอร์มต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อนที่เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีจะสมัครใช้งานได้
  • สหรัฐอเมริกา หลายรัฐ เช่น ยูทาห์และฟลอริดา ได้ผ่านกฎหมายจำกัดการเข้าถึงโซเชียลมีเดียของเยาวชนอย่างเข้มงวด

ปรากฏการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่า ความอดทนของฝ่ายนิติบัญญัติทั่วโลกต่อคำมั่นสัญญาเรื่อง “การกำกับดูแลตนเอง” ของบริษัทเทคโนโลยีกำลังจะหมดลง

บทสรุป การทดลองทางสังคมครั้งใหญ่ที่โลกกำลังจับตามอง

ข้อเสนอ “เดนมาร์กแบนโซเชียลมีเดีย” สำหรับเด็ก เป็นมากกว่าร่างกฎหมายฉบับหนึ่ง แต่มันคือการจุดไม้ขีดไฟในประเด็นที่เปราะบางและซับซ้อนที่สุดประเด็นหนึ่งแห่งศตวรรษที่ 21 มันคือการประกาศว่า เมื่อต้องเลือกระหว่างผลกำไรของบริษัทเทคโนโลยีกับสุขภาพจิตของคนรุ่นต่อไป รัฐบาลพร้อมที่จะเลือกอย่างหลัง แม้จะต้องแลกมาด้วยมาตรการที่แข็งกร้าวและอาจถูกวิจารณ์ว่าเป็นการลิดรอนเสรีภาพก็ตาม

เส้นทางข้างหน้าของร่างกฎหมายฉบับนี้ในรัฐสภาเดนมาร์กจะเต็มไปด้วยการต่อสู้และการล็อบบี้อย่างหนักหน่วงจากทุกฝ่าย แต่ไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะออกมาเป็นอย่างไร การตัดสินใจของเดนมาร์กในครั้งนี้ก็ได้เปลี่ยนทิศทางการสนทนาไปตลอดกาล มันคือการเริ่มต้นของการทดลองทางสังคมครั้งใหญ่ ที่มีเป้าหมายเพื่อตอบคำถามที่ว่า “เราจะสร้างโลกดิจิทัลที่ปลอดภัยสำหรับเด็กได้อย่างไร?” ซึ่งเป็นคำถามที่ทุกประเทศทั่วโลกกำลังดิ้นรนหาคำตอบ และผลลัพธ์ของการทดลองในเดนมาร์กครั้งนี้ จะส่งแรงสั่นสะเทือนไปไกลกว่าชายแดนของตนเองอย่างแน่นอน

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *