ประชาธิปไตยบนคมมีด ถอดรหัสเหตุ “นักการเมืองเยอรมันถูกทำร้าย” สัญญาณอันตรายจากความเกลียดชังที่ลุกลามสู่รากฐานสังคม

นักการเมืองเยอรมันถูกทำร้าย

นักการเมืองเยอรมันถูกทำร้าย ประเทศเยอรมนีตกอยู่ในภาวะช็อกและตื่นตระหนก หลังเกิดเหตุสะเทือนขวัญ คาทารินา ไมเออร์ (Katharina Meier) นายกเทศมนตรีหญิงจากพรรคกรีน (Green Party) ของเมืองฟรีเดนเบิร์ก (Friedenberg) ถูกคนร้ายใช้มีดลอบแทงจนได้รับบาดเจ็บสาหัสและอยู่ในอาการวิกฤต เหตุการณ์เกิดขึ้นใกล้กับบ้านพักของเธอเอง และตำรวจได้จับกุมผู้ต้องสงสัยไว้ได้แล้วโดยให้น้ำหนักไปที่แรงจูงใจทางการเมืองอย่างชัดเจน การลอบทำร้ายครั้งนี้ไม่ใช่เพียงคดีอาญาสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นกับปัจเจกบุคคล แต่เป็นสัญญาณเตือนภัยระดับสูงสุดถึง “วิกฤตที่กำลังลุกลาม” ในสังคมเยอรมัน นั่นคือการที่ ความรุนแรงทางการเมืองเยอรมนี ได้แปรเปลี่ยนจากวาทกรรมที่เกรี้ยวกราดในโลกออนไลน์มาสู่ความรุนแรงทางกายภาพในโลกแห่งความจริง โศกนาฏกรรมครั้งนี้ได้เปิดเปลือยให้เห็นถึงความเปราะบางของนักการเมืองระดับท้องถิ่นผู้ทำงานใกล้ชิดประชาชน และกำลังบังคับให้เยอรมนีต้องเผชิญหน้ากับคำถามที่น่าอึดอัดเกี่ยวกับสุขภาพของประชาธิปไตยของตนเองในยุคที่ความแตกแยกรุนแรงขึ้นทุกขณะ

We fear for her life': German town mayor found stabbed at home; Chancellor  Friedrich Merz condemns 'heinous act' - The Times of India

นักการเมืองเยอรมันถูกทำร้าย นาทีระทึกขวัญในฟรีเดนเบิร์ก เมื่อผู้รับใช้ประชาชนกลายเป็นเป้าหมาย

เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงค่ำของวันที่ 8 ตุลาคม 2568 ขณะที่นายกเทศมนตรีคาทารินา ไมเออร์ วัย 44 ปี กำลังเดินทางกลับบ้านพักในเมืองฟรีเดนเบิร์ก รัฐซัคเซิน (Saxony) ซึ่งเป็นเมืองขนาดกลางทางตะวันออกของประเทศ คนร้ายซึ่งเป็นชายวัยกลางคนได้เข้าประชิดตัวและใช้มีดแทงเธอหลายครั้งบริเวณลำตัว ก่อนที่พลเมืองดีที่เห็นเหตุการณ์จะเข้าช่วยเหลือและแจ้งตำรวจซึ่งสามารถเข้าระงับเหตุและจับกุมผู้ก่อเหตุได้ในที่เกิดเหตุ

พยานในที่เกิดเหตุให้การว่า ผู้ก่อเหตุได้ตะโกนถ้อยคำที่แสดงความเกลียดชังต่อนโยบายผู้ลี้ภัยและนโยบายสิ่งแวดล้อมของเธอก่อนลงมือ ซึ่งทำให้ตำรวจและหน่วยงานความมั่นคงให้น้ำหนักไปที่ อาชญากรรมจากความเกลียดชัง (Hate Crime) ที่มีแรงจูงใจทางการเมืองอย่างชัดเจน

คาทารินา ไมเออร์ เป็นที่รู้จักในฐานะนักการเมืองหญิงรุ่นใหม่ไฟแรงของพรรคกรีน เธอมีจุดยืนที่ชัดเจนในการสนับสนุนนโยบายบูรณาการผู้ลี้ภัยเข้ากับสังคม และผลักดันโครงการด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ ในเมือง ซึ่งทำให้เธอเป็นที่ชื่นชมของกลุ่มผู้สนับสนุนแนวคิดเสรีนิยม แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เธอกลายเป็นเป้าโจมตีของ กลุ่มขวาจัดเยอรมนี และกลุ่มต่อต้านผู้อพยพมาโดยตลอด

ไม่ใช่เหตุการณ์แรก “วิกฤตที่ลุกลาม” และสถิติที่น่าตกใจ

การโจมตีครั้งนี้ แม้จะรุนแรงและน่าตกใจ แต่ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว มันคือยอดของภูเขาน้ำแข็งแห่งปัญหาความรุนแรงต่อนักการเมืองที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่ากลัวในเยอรมนีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจอาชญากรรมแห่งชาติ (BKA) ของเยอรมนี ยืนยันถึงแนวโน้มที่น่ากังวลนี้

  • สถิติการโจมตีพุ่งสูง ในปีล่าสุด มีรายงานการกระทำผิดทางอาญาที่มุ่งเป้าต่อนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐมากกว่า 2,700 คดี เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
  • ท้องถิ่นคือเป้าหมายหลัก นักการเมืองที่ตกเป็นเป้าหมายมากที่สุดคือผู้ดำรงตำแหน่งในระดับท้องถิ่น เช่น นายกเทศมนตรี และสมาชิกสภาเมือง เนื่องจากพวกเขาเป็น “ด่านหน้า” ที่ต้องพบปะกับประชาชนโดยตรงและเป็นผู้บังคับใช้นโยบายที่สร้างความขัดแย้ง
  • รูปแบบการคุกคาม ความรุนแรงมีตั้งแต่การข่มขู่ทางออนไลน์, การทำลายทรัพย์สิน, การคุกคามที่บ้าน ไปจนถึงการทำร้ายร่างกายอย่างที่เกิดขึ้นกับนายกเทศมนตรีไมเออร์

โศกนาฏกรรมครั้งนี้ยังชวนให้นึกถึงเหตุการณ์เลวร้ายในอดีตที่เคยเกิดขึ้น เช่น

  • การฆาตกรรม วอลเตอร์ ลึบเคอ (Walter Lübcke) ในปี 2019 นักการเมืองระดับภูมิภาคจากพรรค CDU ถูกลอบสังหารที่บ้านพักโดยกลุ่มนีโอนาซี เนื่องจากเขามีจุดยืนสนับสนุนผู้ลี้ภัย
  • การลอบแทง เฮนเรียตเตอ เรเคอร์ (Henriette Reker) ในปี 2015 ผู้สมัครนายกเทศมนตรีเมืองโคโลญจน์ (ซึ่งต่อมาได้รับเลือกตั้ง) ถูกแทงที่คอโดยผู้ที่มีแนวคิดต่อต้านผู้อพยพ

German mayor in critical condition after being stabbed multiple times in  'abhorrent attack'

เชื้อไฟแห่งความเกลียดชัง จากวาทกรรมสุดโต่งสู่คมมีดบนท้องถนน

ทำไมความรุนแรงต่อนักการเมืองในเยอรมนีถึงเพิ่มขึ้น? นักสังคมวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงชี้ไปที่ “ระบบนิเวศแห่งความเกลียดชัง” ที่เติบโตและแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยเร่งหลายประการ

  1. การผงาดขึ้นของพรรคการเมืองขวาจัด การเติบโตของพรรค ทางเลือกเพื่อเยอรมนี (Alternative für Deutschland – AfD) ซึ่งเป็นพรรคขวาจัดประชานิยม ได้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางการเมืองของเยอรมนีไปอย่างสิ้นเชิง แม้พรรค AfD จะประณามความรุนแรง แต่หน่วยงานความมั่นคงชี้ว่าวาทกรรมที่เกรี้ยวกราดและสม่ำเสมอของพวกเขาในการโจมตีนโยบายผู้อพยพ, สหภาพยุโรป และนักการเมืองจากพรรคกระแสหลัก ได้ “สร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวย” และ “ลดทอนความเป็นมนุษย์” ของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งเป็นการปูทางให้บุคคลที่มีแนวคิดสุดโต่งมองว่าการใช้ความรุนแรงเป็นสิ่งที่ยอมรับได้
  2. การแพร่กระจายของข้อมูลบิดเบือนและทฤษฎีสมคบคิด แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะแอปพลิเคชันส่งข้อความอย่าง Telegram ได้กลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อของความเกลียดชัง ที่ซึ่งนักการเมืองอย่างไมเออร์ถูกใส่ร้าย, ถูกสร้างข่าวปลอม และถูกระบุว่าเป็น “ศัตรูของชาติ”
  3. ความแปลกแยกทางสังคม ผู้ก่อเหตุในคดีลักษณะนี้มักเป็นบุคคลที่รู้สึกแปลกแยกจากสังคม, รู้สึกว่าตนเองถูกทอดทิ้งจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม และซึมซับเอาแนวคิดสุดโต่งเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตัวตน เพื่อหาคำอธิบายง่ายๆ ให้กับปัญหาที่ซับซ้อน

เสียงสะท้อนจากเบอร์ลิน “นี่คือการโจมตีหัวใจประชาธิปไตยของเรา”

ข่าวการลอบทำร้ายนายกเทศมนตรีไมเออร์ได้ส่งแรงสั่นสะเทือนไปถึงกรุงเบอร์ลิน ผู้นำทางการเมืองทุกพรรคได้ออกมาประณามการกระทำดังกล่าวอย่างพร้อมเพรียงและเป็นเอกฉันท์

นายกรัฐมนตรี โอลาฟ โชลซ์ (Olaf Scholz) ได้กล่าวประณามเหตุการณ์นี้อย่างรุนแรงที่สุด โดยระบุว่า “นี่ไม่ใช่แค่การโจมตีคาทารินา ไมเออร์ แต่เป็นการโจมตีประชาธิปไตยของเยอรมนี และเราจะไม่อดทนต่อความเกลียดชังและความรุนแรงเช่นนี้เด็ดขาด”

ผู้นำพรรคฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาลต่างออกมาแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เรียกร้องให้สังคมร่วมกันต่อต้านวาทกรรมที่สร้างความแตกแยก และเรียกร้องให้มีการทบทวนมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยของนักการเมืองระดับท้องถิ่นอย่างเร่งด่วน

Newly elected German mayor in critical condition after stabbing at her home  - BNO News

บทสรุป ประชาธิปไตยเยอรมันบนเส้นด้ายแห่งความอดทน

นักการเมืองเยอรมันถูกทำร้าย รัฐบาลเยอรมนีมีมาตรการรับมืออย่างไร? ในระยะสั้น คือการเร่งสืบสวนดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุให้ถึงที่สุดและเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย แต่ความท้าทายที่แท้จริงและยากกว่านั้นคือการรับมือกับต้นตอของปัญหา

การโจมตีนายกเทศมนตรีคาทารินา ไมเออร์ คือบาดแผลฉกรรจ์บนร่างกายของระบอบประชาธิปไตยเยอรมนี มันคือบทพิสูจน์ที่เจ็บปวดว่า ภัยคุกคามต่อระบอบประชาธิปไตยในศตวรรษที่ 21 ไม่ได้มาจากกองทัพปฏิวัติ แต่มาจากความเกลียดชังที่ค่อยๆ กัดเซาะสังคมจากภายใน จากคำพูดที่ไร้ความรับผิดชอบ สู่ทฤษฎีสมคบคิด และจบลงด้วยคมมีดบนร่างกายของผู้ที่อาสาเข้ามาทำงานเพื่อส่วนรวม

อนาคตและสุขภาพของประชาธิปไตยเยอรมันอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับนโยบายเศรษฐกิจหรือการต่างประเทศอีกต่อไป แต่อยู่ที่ว่าสังคมจะสามารถหาหนทางเยียวยาความแตกแยก, ฟื้นฟูวัฒนธรรมการถกเถียงอย่างมีเหตุผล, และปกป้องผู้ที่ยืนอยู่ด่านหน้าของประชาธิปไตยจากการคุกคามของความเกลียดชังได้สำเร็จหรือไม่ ก่อนที่สัญญาณเตือนภัยจะกลายเป็นเสียงระฆังแห่งความตายสำหรับเสรีภาพที่พวกเขาเคยต่อสู้เพื่อให้ได้มา

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *