ตึกโรงเรียนถล่มอินโดนีเซีย ความหวังที่ริบหรี่ได้ดับมอดลงพร้อมกับตัวเลขผู้เสียชีวิตที่พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าใจสลาย โดยล่าสุด ยอดผู้เสียชีวิตจากโศกนาฏกรรม ตึกโรงเรียนถล่มอินโดนีเซีย ในจังหวัดชวาตะวันตก ได้รับการยืนยันแล้วอย่างน้อย 54 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียน ขณะที่ปฏิบัติการค้นหาผู้ที่อาจยังติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังอีกกว่า 13 ชีวิตยังคงดำเนินต่อไปอย่างยากลำบาก ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นทุกวันได้เปลี่ยนบรรยากาศของความโศกเศร้าทั่วทั้งชาติให้กลายเป็นความโกรธแค้นที่เดือดดาล พุ่งเป้าโดยตรงไปยังปัญหาเชิงโครงสร้างที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุของหายนะครั้งนี้ นั่นคือ การทุจริตการก่อสร้าง โศกนาฏกรรมครั้งนี้ได้กลายเป็นบททดสอบครั้งสำคัญและเร่งด่วนที่สุดของรัฐบาลประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ในการทวงความยุติธรรมให้แก่เหยื่อผู้บริสุทธิ์ และปฏิรูประบบ ความปลอดภัยอาคารสาธารณะ ที่ล้มเหลว เพื่อฟื้นฟูศรัทธาของประชาชนที่กำลังพังทลายลงไม่ต่างจากซากอาคารเบื้องหน้า
ตึกโรงเรียนถล่มอินโดนีเซีย ภาพสะเทือนใจจากพื้นที่ภัยพิบัติ ทุกร่างที่พบคือหลักฐานมัดตัว
ปฏิบัติการกู้ภัยในวันที่ 8 ได้เปลี่ยนสภาพจากภารกิจค้นหาผู้รอดชีวิต (Search and Rescue) ไปสู่ภารกิจเก็บกู้ร่างผู้เสียชีวิต (Search and Recovery) อย่างเต็มตัว เสียงไซเรนของรถพยาบาลที่วิ่งเข้าออกพื้นที่ไม่ขาดสาย กลายเป็นเสียงที่ตอกย้ำความสูญเสียที่เพิ่มขึ้นทุกชั่วโมง ทีมกู้ภัยจาก สำนักงานจัดการภัยพิบัติแห่งชาติ (BNPB) ซึ่งทำงานอย่างเหนื่อยล้ามาตลอดสัปดาห์ ต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งจากโครงสร้างซากอาคารที่ไม่มั่นคง และสภาพจิตใจที่ย่ำแย่จากการต้องนำร่างของเด็กๆ ออกมาจากกองอิฐปูน
บรรยากาศบริเวณจุดเกิดเหตุเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความขมขื่น ครอบครัวของเหยื่อนั่งร้องไห้ระงม ขณะที่ประชาชนที่มาเฝ้าดูเหตุการณ์ต่างแสดงความไม่พอใจอย่างเปิดเผย เสียงตะโกนสาปแช่งผู้รับเหมาและเจ้าหน้าที่รัฐดังขึ้นเป็นระยะ
“พวกเขาไม่ได้ตายเพราะอุบัติเหตุ แต่พวกเขาถูกฆ่า” นายอากุส, ลุงของนักเรียนหญิงวัย 12 ปีที่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ถูกฆ่าโดยความโลภของคนบางกลุ่ม และความละเลยของรัฐบาล ทุกแผ่นปูน ทุกเส้นเหล็กที่ไม่ได้มาตรฐาน คืออาวุธที่พรากชีวิตหลานของผมไป”
ความรู้สึกร่วมของสาธารณชนในลักษณะนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็วผ่านโซเชียลมีเดีย แฮชแท็กที่เรียกร้องความยุติธรรมและการปฏิรูปได้ติดเทรนด์อันดับต้นๆ สร้างแรงกดดันมหาศาลไปยังรัฐบาลในกรุงจาการ์ตา
จากโศกนาฏกรรมสู่คดีอาญา เมื่อประธานาธิบดีสั่ง “KPK” ลงดาบ
เมื่อสถานการณ์บานปลายกลายเป็นวิกฤตศรัทธาครั้งใหญ่ ประธานาธิบดี ปราโบโว ซูเบียนโต (Prabowo Subianto) ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นาน ได้ออกมาแถลงการณ์ผ่านทางโทรทัศน์ทั่วประเทศด้วยท่าทีแข็งกร้าวและเฉียบขาดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
“ผมขอประกาศตรงนี้ว่าจะไม่มีการผ่อนปรนใดๆ ทั้งสิ้น (zero tolerance) ให้กับผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อโศกนาฏกรรมครั้งนี้” ประธานาธิบดีปราโบโวกล่าว “ผมได้สั่งการให้ คณะกรรมการปราบปรามการทุจริต (KPK) เข้าไปร่วมสอบสวนกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อขุดรากถอนโคนเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้รับเหมา วิศวกร หรือเจ้าหน้าที่รัฐที่ทุจริตและไร้ความสามารถ นี่ไม่ใช่แค่การสืบสวน แต่คือการทวงความยุติธรรมคืนให้กับเด็กๆ ของเรา”
การดึง KPK ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่มีชื่อเสียงด้านการปราบปรามคอร์รัปชันเข้ามาในคดีนี้ ถือเป็นการยกระดับการสอบสวนจากคดีประมาทเลินเล่อธรรมดา ไปสู่คดีทุจริตระดับชาติ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสาวให้ถึงตัวการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังโครงการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐานนี้
“SNI บนแผ่นกระดาษ” เจาะรากเหง้าปัญหามาตรฐานที่ถูกเพิกเฉย
ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและกลุ่มประชาสังคมต่างชี้ว่า โศกนาฏกรรมครั้งนี้คือภาพสะท้อนที่เจ็บปวดของปัญหา “กฎหมายดีแต่ไม่มีการบังคับใช้” ของอินโดนีเซีย
ในทางทฤษฎี ประเทศอินโดนีเซียมี มาตรฐานการก่อสร้างแห่งชาติ (Standar Nasional Indonesia – SNI) ที่ครอบคลุมและเป็นไปตามหลักสากล แต่ในทางปฏิบัติ มาตรฐานเหล่านี้มักถูกเพิกเฉยด้วยเหตุผลหลายประการ
- วัฒนธรรมคอร์รัปชัน การจ่ายสินบนเพื่อให้ผ่านการตรวจสอบ หรือการ “ลดสเปก” วัสดุก่อสร้างเพื่อนำเงินส่วนต่างเข้ากระเป๋า เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในวงการก่อสร้างของรัฐ
- การบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ การลงโทษผู้กระทำผิดมักไม่รุนแรงพอที่จะสร้างความเกรงกลัว และกระบวนการทางกฎหมายที่ยืดเยื้อทำให้ผู้กระทำผิดมักลอยนวล
- การกระจายอำนาจและช่องว่างในการกำกับดูแล การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นทำให้การควบคุมมาตรฐานจากส่วนกลางเป็นไปได้ยาก เจ้าหน้าที่ในระดับท้องถิ่นอาจมีส่วนรู้เห็นหรือได้รับผลประโยชน์จากการก่อสร้างที่ไม่ได้คุณภาพ
- ขาดแคลนบุคลากร จำนวนวิศวกรและผู้ตรวจสอบที่มีคุณภาพและซื่อสัตย์มีไม่เพียงพอต่อจำนวนโครงการก่อสร้างมหาศาลที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ
บททดสอบความเป็นผู้นำของ “ปราโบโว” คำสัญญาจะนำมาซึ่งการกระทำหรือไม่?
โศกนาฏกรรมครั้งนี้ได้กลายเป็นบททดสอบภาวะผู้นำครั้งสำคัญที่สุดครั้งแรกของประธานาธิบดีปราโบโว ภาพลักษณ์ของอดีตนายพลผู้แข็งแกร่งและเด็ดขาด ได้สร้างความคาดหวังในหมู่ประชาชนว่าเขาจะสามารถจัดการกับปัญหาคอร์รัปชันที่กัดกินประเทศมานานได้อย่างเฉียบขาด
รัฐบาลอินโดนีเซียจะดำเนินการอย่างไรกับผู้รับผิดชอบ? คำตอบของคำถามนี้จะชี้ชะตาความน่าเชื่อถือของรัฐบาลชุดใหม่ ประชาชนไม่ได้ต้องการเพียง “แพะรับบาป” ไม่กี่ราย แต่ต้องการเห็นการดำเนินคดีกับ “ปลาตัวใหญ่” ที่อยู่เบื้องหลังเครือข่ายผลประโยชน์นี้ และที่สำคัญกว่านั้นคือการปฏิรูปเชิงโครงสร้างเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
โศกนาฏกรรมครั้งนี้จะนำไปสู่การปฏิรูปความปลอดภัยอาคารหรือไม่? นี่คือคำถามสุดท้ายที่ชาวอินโดนีเซียทุกคนกำลังรอคำตอบ หากรัฐบาลสามารถใช้วิกฤตครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนในการยกเครื่องระบบการกำกับดูแลการก่อสร้างทั้งหมด ก็อาจจะสามารถฟื้นฟูศรัทธาของประชาชนกลับคืนมาได้ แต่หากทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิมหลังข่าวซาลง โศกนาฏกรรมครั้งนี้ก็จะกลายเป็นอีกหนึ่งบาดแผลลึกในใจของคนทั้งชาติที่ไม่มีวันลบเลือน
บทสรุป มากกว่าซากตึก คือซากปรักหักพังของความไว้วางใจ
ตึกโรงเรียนถล่มอินโดนีเซีย ยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดจากตึกถล่มในอินโดนีเซีย เป็นตัวเลขที่น่าสะเทือนใจ แต่มันได้ทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนความจริงอันน่าเกลียดของสังคม ซากปรักหักพังใน ชวาตะวันตก ไม่ได้เป็นเพียงเศษอิฐเศษปูน แต่คืออนุสาวรีย์ของความล้มเหลวเชิงระบบและความเสื่อมโทรมทางจริยธรรม
ปฏิบัติการค้นหาที่กำลังดำเนินต่อไป ไม่ใช่แค่การค้นหาร่างของผู้สูญหาย แต่คือการค้นหา “ความรับผิดชอบ” และ “ความยุติธรรม” ที่หายไปจากสังคมอินโดนีเซียมานานเกินไป ชะตากรรมของเด็กๆ 54 ชีวิตและอีกหลายคนที่ยังคงรอคอย จะต้องไม่สูญเปล่า และต้องกลายเป็นพลังผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เพื่อรับประกันว่าโรงเรียนจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับอนาคตของชาติ ไม่ใช่สุสานที่สร้างขึ้นจากความมักง่ายและความโลภ
แหล่งที่มาจาก : am2con