พายุหิมะถล่มเอเวอเรสต์ ปฏิบัติการกู้ภัยครั้งประวัติศาสตร์กำลังดำเนินไปอย่างตึงเครียดบนเทือกเขาหิมาลัย หลังจากพายุหิมะที่รุนแรงและเกิดขึ้นอย่างผิดฤดูกาลได้พัดถล่มยอดเขาเอเวอเรสต์อย่างฉับพลัน ส่งผลให้มีนักปีนเขา ไกด์ และนักท่องเที่ยวเกือบ 1,000 ชีวิตต้องติดค้างอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศเลวร้ายบนฝั่งเขตปกครองตนเองทิเบตของจีน เหตุการณ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงโศกนาฏกรรมทางการปีนเขาที่น่าสะพรึงกลัว แต่เป็นภาพสะท้อนของวิกฤตซ้อนวิกฤต ที่ซึ่งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสุดขั้ว (Extreme Tourism) ที่กำลังเฟื่องฟู ต้องเผชิญหน้าโดยตรงกับสภาพอากาศที่แปรปรวนรุนแรงจาก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหิมาลัย และในขณะเดียวกัน โศกนาฏกรรมครั้งนี้ก็ได้กลายเป็นเวทีให้สาธารณรัฐประชาชนจีนได้แสดงแสนยานุภาพในการระดมสรรพกำลังเพื่อปฏิบัติการกู้ภัยขนาดมหึมาในพื้นที่ที่ท้าทายและอันตรายที่สุดแห่งหนึ่งบนพื้นพิภพ
พายุหิมะถล่มเอเวอเรสต์ วิกฤตบนความสูง 5,150 เมตร ปฏิบัติการแข่งกับเวลาท่ามกลางพายุ
รายงานล่าสุดจากสำนักข่าวซินหัวและหน่วยงานท้องถิ่นระบุว่า พายุหิมะได้เริ่มพัดกระหน่ำอย่างรุนแรงโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าที่ชัดเจนในช่วงบ่ายของวันที่ 7 ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลา “หน้าต่างสภาพอากาศ” (Weather Window) ที่ดีที่สุดของฤดูใบไม้ร่วงสำหรับการ ปีนเขาเอเวอเรสต์ ส่งผลให้ผู้คนจำนวนมากที่กระจายตัวอยู่บริเวณ เบสแคมป์ฝั่งเหนือ (North Base Camp) ที่ระดับความสูง 5,150 เมตร และบางส่วนที่อาจอยู่ที่แคมป์ชั้นสูงขึ้นไป ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกทันที
สภาพการณ์ในพื้นที่วิกฤตอย่างยิ่ง
- สภาพอากาศสุดขั้ว อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างรวดเร็วถึง -20 องศาเซลเซียส ประกอบกับลมกระโชกแรงระดับเฮอริเคน ทำให้ทัศนวิสัยลดลงเหลือศูนย์ และหิมะที่ทับถมสูงขึ้นอย่างรวดเร็วได้ทำลายเต็นท์และอุปกรณ์สื่อสารบางส่วน
- ความเสี่ยงต่อชีวิต ผู้ที่ติดค้างกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากภาวะร่างกายมีอุณหภูมิต่ำเกิน (Hypothermia), อาการบวมน้ำในสมองและปอดจาก ภาวะป่วยเหตุสูง (Acute Mountain Sickness – AMS) และอาการหิมะกัด (Frostbite) ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถคร่าชีวิตได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
- ผู้ประสบภัยหลากหลาย ผู้ติดค้างไม่ได้มีเพียงนักปีนเขาชั้นแนวหน้า แต่ประกอบด้วยนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังเบสแคมป์, ไกด์ชาวทิเบต, เชฟ, และทีมงานสนับสนุน ซึ่งหลายคนอาจไม่มีอุปกรณ์หรือประสบการณ์ในการรับมือกับสภาพอากาศเลวร้ายระดับนี้
ทางการจีนได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินระดับสูงสุด ปฏิบัติการ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยทิเบต ได้เริ่มต้นขึ้นทันทีภายใต้การบัญชาการของ สมาคมการปีนเขาจีน-ทิเบต (CTMA) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่ควบคุมการปีนเขาทั้งหมดบนฝั่งทิเบต ทีมกู้ภัยชั้นยอดของจีนซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติการบนที่สูง พร้อมด้วยเฮลิคอปเตอร์กู้ภัยที่ดัดแปลงมาเป็นพิเศษ กำลังพยายามฝ่าสภาพอากาศที่เลวร้ายเพื่อเข้าถึงพื้นที่เกิดเหตุ แต่ปฏิบัติการทางอากาศยังคงเป็นไปด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง
ถอดรหัสพายุ เมื่อ “กระแสลมกรด” แปรปรวน นำขั้วโลกมาสู่หิมาลัย
สาเหตุของพายุหิมะรุนแรงในเดือนตุลาคมคืออะไร? คำถามนี้กำลังถูกถกเถียงอย่างกว้างขวางในหมู่นักวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศ ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน) โดยปกติแล้วถือเป็นช่วงที่อากาศบนเอเวอเรสต์มีเสถียรภาพมากที่สุด แต่พายุครั้งนี้มีลักษณะที่รุนแรงเทียบเท่าพายุในช่วงฤดูหนาว
ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ข้อมูลสภาพอากาศแห่งชาติสหรัฐฯ (NOAA) และนักวิจัยอิสระชี้ไปที่ผู้ต้องสงสัยหลักคือ “กระแสลมกรด” (Jet Stream) ซึ่งเป็นกระแสลมความเร็วสูงที่พัดอยู่บริเวณชั้นบรรยากาศชั้นบนสุด
- พฤติกรรมปกติ ในช่วงฤดูปีนเขา กระแสลมกรดจะพัดอยู่ในละติจูดที่สูงขึ้นไปทางเหนือของเทือกเขาหิมาลัย ทำให้เกิด “หน้าต่างสภาพอากาศ” ที่สงบและปลอดโปร่ง
- ความผิดปกติที่เกิดขึ้น แบบจำลองสภาพอากาศแสดงให้เห็นว่ากระแสลมกรดเกิดการ “บิดตัว” และ “หย่อน” ลงมาทางใต้อย่างกะทันหัน การหย่อนตัวลงมานี้ได้ลากเอามวลอากาศเย็นจัดจากขั้วโลก (Polar Air Mass) ลงมาปกคลุมยอดเขาเอเวอเรสต์โดยตรง ทำให้เกิดพายุหิมะและความหนาวเย็นรุนแรงฉับพลัน
นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากเชื่อมโยงความแปรปรวนของกระแสลมกรดนี้เข้ากับภาวะโลกร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปรากฏการณ์ “Arctic Amplification” หรือการที่ขั้วโลกเหนือร้อนขึ้นเร็วกว่าส่วนอื่นๆ ของโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของกระแสลมกรดทั่วทั้งซีกโลกเหนือ นี่คือหลักฐานที่เป็นรูปธรรมที่ชี้ว่า โลกร้อนส่งผลต่อสภาพอากาศบนเทือกเขาหิมาลัย อย่างมีนัยสำคัญ
“ธุรกิจบนยอดเขา” ปะทะ “ความจริงใหม่ของสภาพอากาศ”
โศกนาฏกรรมครั้งนี้ยังส่องสปอตไลท์ไปยังอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวบนยอดเขาเอเวอเรสต์ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
- การเติบโตฝั่งทิเบต ในขณะที่ฝั่งเนปาลมีชื่อเสียงเรื่องความคลาสสิก ฝั่งทิเบตที่บริหารจัดการโดยรัฐบาลจีนทั้งหมด กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีกว่า เช่น ถนนลาดยางที่เข้าถึงเบสแคมป์ และการจัดการที่เป็นระบบระเบียบมากกว่า
- ไม่ใช่แค่ผู้พิชิตยอดเขา จำนวนผู้ประสบภัยเกือบ 1,000 คน เป็นตัวเลขที่ยืนยันว่า “ลูกค้า” ของเอเวอเรสต์ไม่ได้มีแค่นักปีนเขาที่มุ่งสู่ยอดอีกต่อไป แต่เป็นตลาดขนาดใหญ่ของนักท่องเที่ยวเชิงผจญภัยที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ที่เบสแคมป์ ซึ่งสร้างรายได้มหาศาลให้กับท้องถิ่นและบริษัททัวร์
เหตุการณ์นี้ได้เผยให้เห็นถึงความเปราะบางของธุรกิจนี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับ “ความจริงใหม่” ของสภาพอากาศที่คาดเดาไม่ได้ ฤดูกาลที่เคย “ปลอดภัย” อาจไม่ปลอดภัยอีกต่อไป และบริษัททัวร์รวมถึงหน่วยงานที่ออกใบอนุญาต อาจต้องทบทวนมาตรฐานความปลอดภัยและแผนฉุกเฉินทั้งหมดอย่างเร่งด่วน
มังกรบนที่สูง ปฏิบัติการกู้ภัย แสนยานุภาพ และนัยทางภูมิรัฐศาสตร์
ขณะที่โลกกำลังภาวนาให้ผู้ประสบภัยปลอดภัย อีกมิติหนึ่งที่น่าจับตามองคือปฏิบัติการกู้ภัยของรัฐบาลจีน ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการกู้ภัยในฝั่งเนปาลที่มักพึ่งพาบริษัทเฮลิคอปเตอร์เอกชนและทีมเชอร์ปาเป็นหลัก
- ปฏิบัติการที่ควบคุมโดยรัฐทั้งหมด การกู้ภัยในฝั่งทิเบตเป็นการแสดงแสนยานุภาพของรัฐอย่างแท้จริง รัฐบาลจีนสามารถระดมทรัพยากรทุกอย่าง ทั้งกองทัพ ตำรวจติดอาวุธ ทีมแพทย์ และผู้เชี่ยวชาญด้านการบินบนที่สูง เข้ามาในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วและเป็นเอกภาพ
- การแสดงศักยภาพต่อโลก การช่วยเหลือพลเมืองจากนานาชาติที่ ติดบนเขาเอเวอเรสต์ ได้สำเร็จ จะเป็นชัยชนะด้านการประชาสัมพันธ์ครั้งใหญ่สำหรับจีน มันคือการแสดงให้โลกเห็นถึงความสามารถในการจัดการวิกฤต ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และการควบคุมอย่างสมบูรณ์เบ็ดเสร็จเหนือ เขตปกครองตนเองทิเบต ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง
การช่วยเหลือผู้ติดค้างบนเอเวอเรสต์ทำได้อย่างไร? ปฏิบัติการของจีนน่าจะผสมผสานกันระหว่างการใช้เฮลิคอปเตอร์ลำเลียงผู้ป่วยหนักและนักท่องเที่ยวออกมาก่อนเมื่อสภาพอากาศเอื้ออำนวย ควบคู่ไปกับการส่งทีมกู้ภัยภาคพื้นดินที่แข็งแกร่งพร้อมเสบียงขึ้นไปเพื่อประคองสถานการณ์และช่วยเหลือผู้ที่เหลือลงมาอย่างปลอดภัย
บทสรุป บทเรียนราคาแพงจากยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก
พายุหิมะถล่มเอเวอเรสต์ สถานการณ์ล่าสุดพายุหิมะบนเขาเอเวอเรสต์ ยังคงอยู่ในภาวะวิกฤต ปฏิบัติการกู้ภัยยังคงดำเนินต่อไป และยังเร็วเกินไปที่จะประเมินความสูญเสียทั้งหมด แต่สิ่งที่ชัดเจนแล้วในตอนนี้คือ โศกนาฏกรรมครั้งนี้ได้ทิ้งบทเรียนราคาแพงไว้ให้แก่มนุษยชาติ
มันคือเครื่องยืนยันว่า แม้จะเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก ก็ไม่อาจหนีพ้นจากผลกระทบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศได้ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่พยายามผลักดันขีดจำกัดของมนุษย์ กำลังถูกธรรมชาติที่มนุษย์ทำร้ายย้อนกลับมาทวงคืนด้วยความรุนแรงที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
เหตุการณ์นี้จะบังคับให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่รัฐบาลจีนและเนปาล ไปจนถึงบริษัททัวร์และตัวนักปีนเขาเอง ต้องกลับมาทบทวนทุกอย่างใหม่หมด ตั้งแต่การพยากรณ์อากาศ การออกใบอนุญาต ไปจนถึงจริยธรรมของการผลักดันให้ผู้คนจำนวนมากเข้าไปเสี่ยงชีวิตในพื้นที่ที่อันตรายและคาดเดาไม่ได้มากขึ้นทุกวัน เพราะบนหลังคาโลกแห่งนี้ “ความปกติใหม่” ได้เดินทางมาถึงแล้ว และมันน่ากลัวกว่าที่ใครเคยจินตนาการไว้
แหล่งที่มาจาก : am2con