ไม่ใช่แค่ภัยพิบัติ แต่คือสัญญาณเตือนจากแนวรบโลกร้อน ถอดรหัสโศกนาฏกรรม น้ำท่วมเนปาล-อินเดีย ที่มรสุมไม่ได้เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป

น้ำท่วมเนปาล-อินเดีย

น้ำท่วมเนปาล-อินเดีย สายฝนที่ควรจะสิ้นสุดฤดูได้หวนกลับมาอย่างบ้าคลั่ง นำมาซึ่งโศกนาฏกรรมระลอกใหญ่ในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์น้ำท่วมฉับพลันและดินโคลนถล่มรุนแรงในพื้นที่พรมแดนระหว่างเนปาลและอินเดีย ได้พุ่งสูงเกิน 63 รายแล้ว และยังมีผู้สูญหายอีกนับสิบราย ท่ามกลางปฏิบัติการกู้ภัยที่ดำเนินไปอย่างยากลำบาก อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญและนักวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศต่างชี้ว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ภัยพิบัติตามฤดูกาลที่เกิดขึ้นซ้ำซาก แต่มันคือสัญญาณเตือนภัยฉุกเฉินที่ดังมาจาก “แนวรบหน้าของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ” โดยตรง โศกนาฏกรรม น้ำท่วมเนปาล-อินเดีย ครั้งนี้ กำลังสะท้อนให้เห็นถึง “ความปกติใหม่” ที่อันตรายอย่างยิ่ง ซึ่ง ผลกระทบมรสุม ที่เคยคาดเดาได้กลับแปรปรวนและรุนแรงขึ้นอย่างสุดขั้ว คุกคามชีวิตผู้คนหลายล้านคนในภูมิภาค เทือกเขาหิมาลัย ที่เปราะบางที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

Landslides and floods kill 63 in Nepal, India after heavy rains - World - DAWN.COM

น้ำท่วมเนปาล-อินเดีย ภาพความพินาศจากหลังคาโลก เมื่อสายน้ำกลืนกินหมู่บ้านในชั่วข้ามคืน

ในช่วง 72 ชั่วโมงที่ผ่านมา ชุมชนหลายแห่งในภาคตะวันตกของเนปาลและใน รัฐอุตตราขัณฑ์ ของอินเดีย ต้องเผชิญกับฝนตกหนักที่ “ผิดปกติ” สำหรับช่วงต้นเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงท้ายของฤดูมรสุม ปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาอย่างบ้าคลั่งในระยะเวลาสั้นๆ ได้เปลี่ยนแม่น้ำที่เคยสงบนิ่งให้กลายเป็นกระแสน้ำเชี่ยวกราก พัดพาสะพาน ถนน และบ้านเรือนให้หายไปในพริบตา ขณะเดียวกัน ผืนดินบนภูเขาสูงที่ชุ่มน้ำจนรับไม่ไหวก็พังทลายลงมาเป็นดินโคลนถล่มฝังกลบหมู่บ้านทั้งหมู่บ้าน

รายงานจากสำนักข่าวท้องถิ่นและสำนักข่าว AP ระบุว่า

  • ในเนปาล พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือเขตบาจูราและไกลาลี ทางภาคตะวันตกของประเทศ หมู่บ้านหลายแห่งถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพเนปาลต้องบินฝ่าสภาพอากาศเลวร้ายเพื่อลำเลียงผู้บาดเจ็บและส่งมอบเครื่องยังชีพ
  • ในอินเดีย รัฐอุตตราขัณฑ์ ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะ “ดินแดนแห่งทวยเทพ” เนื่องจากเป็นที่ตั้งของศาสนสถานฮินดูสำคัญหลายแห่ง กลายเป็นศูนย์กลางของโศกนาฏกรรม ทีมกู้ภัยจาก กองกำลังตอบสนองภัยพิบัติแห่งชาติ (NDRF) กำลังเร่งค้นหาผู้รอดชีวิตใต้ซากปรักหักพังของอาคารที่พังถล่มลงมา

“เสียงมันดังเหมือนฟ้าร้อง แต่ดังไม่หยุด แล้วพื้นดินก็สั่นสะเทือน” สุเรช ชาร์มา, ผู้รอดชีวิตในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของอุตตราขัณฑ์ เล่าเหตุการณ์ระทึกกับผู้สื่อข่าว “เราวิ่งหนีออกมาโดยไม่ทันได้หยิบอะไรเลย พอมองกลับไป บ้านของเราก็หายไปแล้ว เหลือแต่โคลน”

ถอดรหัสหายนะ เมื่อ “มรสุมเอเชียใต้” แปรปรวนอย่างสุดขั้ว

สาเหตุของน้ำท่วมและดินถล่มในเนปาลคืออะไร? คำตอบในระดับพื้นฐานคือฝนที่ตกหนักเกินไป แต่คำตอบที่ลึกซึ้งกว่านั้นคือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำลังทำให้ มรสุมเอเชียใต้ ซึ่งเป็นระบบอากาศที่หล่อเลี้ยงคนกว่าพันล้านคน มีพฤติกรรมที่อันตรายและคาดเดายากขึ้น

นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์นานาชาติเพื่อการพัฒนาภูเขาแบบบูรณาการ (ICIMOD) ในกรุง กาฐมาณฑุ อธิบายปรากฏการณ์นี้ว่า

  1. มรสุมที่ยาวนานและมาช้า-ไปช้า ปกติแล้วฤดูมรสุมจะเริ่มอ่อนกำลังและถอนตัวออกจากภูมิภาคนี้ในช่วงปลายเดือนกันยายน แต่ข้อมูลในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่ามรสุมมีแนวโน้มที่จะ “อยู่ยาว” ขึ้น และมักจะทิ้งทวนด้วยฝนตกหนักอย่างรุนแรงในช่วงท้ายฤดู
  2. ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นส่งผลให้อ่าวเบงกอลและทะเลอาหรับอุ่นขึ้น มหาสมุทรที่อุ่นขึ้นจะระเหยน้ำได้มากขึ้น ทำให้อากาศที่พัดเข้าสู่แผ่นดินมีความชื้นสูงเป็นพิเศษ เมื่อมวลอากาศชื้นนี้ปะทะเข้ากับแนวกำแพงสูงของ เทือกเขาหิมาลัย มันจะถูกบังคับให้ยกตัวขึ้นและปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปของฝนที่ตกหนักแบบ “สุดขั้ว” ในระยะเวลาสั้นๆ
  3. ไม่ใช่แค่ฝน แต่คือ “ระเบิดฝน” แทนที่จะเป็นฝนที่ตกต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวัน รูปแบบใหม่ที่น่ากังวลคือฝนปริมาณมหาศาลที่เทลงมาในพื้นที่เล็กๆ ภายในไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งระบบนิเวศและโครงสร้างพื้นฐานของมนุษย์ไม่สามารถรองรับได้ทัน นำไปสู่น้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มอย่างที่เห็น

Landslides and floods kill 63 in Nepal, India - CNA

“แนวรบหิมาลัย” เมื่อโลกร้อนปะทะการพัฒนาที่ไร้การควบคุม

ภัยพิบัติเทือกเขาหิมาลัย ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ เป็นผลพวงจากการชนกันของสองปัจจัยมรณะ

  • ความเปราะบางทางธรรมชาติที่โลกร้อนซ้ำเติม เทือกเขาหิมาลัยเป็นระบบนิเวศที่เปราะบางโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ภาวะโลกร้อนกำลังซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลง ธารน้ำแข็งที่ละลายอย่างรวดเร็วทำให้เกิดทะเลสาบธารน้ำแข็งที่ไม่เสถียร (Glacial Lake Outburst Floods – GLOFs) และยังทำให้ลาดชันของภูเขาเสียความมั่นคง การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิยังส่งผลกระทบต่อความแข็งแรงของชั้นดินและหิน
  • การพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งเนปาลและอินเดียได้เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เทือกเขาหิมาลัยอย่างกว้างขวาง ทั้งการสร้างถนนหนทาง เขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ และการขยายตัวของเมือง การก่อสร้างเหล่านี้มักทำลายหน้าดินและป่าไม้ซึ่งเป็นปราการทางธรรมชาติที่ช่วยดูดซับน้ำและยึดเหนี่ยวผืนดิน การระเบิดภูเขาเพื่อสร้างถนนและการตัดไม้ทำลายป่าอย่างขาดการควบคุม ได้เปลี่ยนภูเขาที่เคยแข็งแกร่งให้กลายเป็นพื้นที่ที่พร้อมจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ

ดังนั้น เมื่อฝนที่รุนแรงผิดปกติจากภาวะโลกร้อนตกลงมาบนภูมิทัศน์ที่อ่อนแอจากการพัฒาที่ไม่ยั่งยืน ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นหายนะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

เสียงจากผู้เชี่ยวชาญและการรับมือที่อาจสายเกินไป

กลุ่มนักวิทยาศาสตร์และนักสิ่งแวดล้อมได้ออกมาส่งเสียงเตือนถึง “ระเบิดเวลา” ลูกนี้มานานหลายปีแล้ว พวกเขาเรียกร้องให้รัฐบาลในภูมิภาคทบทวนนโยบายการพัฒนาในพื้นที่สูง และลงทุนในระบบเตือนภัยล่วงหน้าให้มากขึ้น

“สิ่งที่เรากำลังเห็นไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ มันเป็นสิ่งที่แบบจำลองสภาพภูมิอากาศคาดการณ์ไว้แล้ว” ดร. อัญชัล ปรากาช ผู้อำนวยการวิจัยของสถาบันนโยบายสาธารณะภารตี กล่าว “โศกนาฏกรรมเหล่านี้คือราคาที่เราต้องจ่ายจากการเพิกเฉยต่อวิทยาศาสตร์ เราไม่สามารถสร้างโครงสร้างพื้นฐานแบบเดียวกับที่สร้างบนที่ราบมาสร้างบนภูเขาที่เปราะบางเช่นนี้ได้”

ในขณะที่เสียงเรียกร้องดังขึ้น ปฏิบัติการช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์ยังคงดำเนินต่อไปด้วยความยากลำบาก ทีมกู้ภัยต้องต่อสู้กับสภาพอากาศที่ยังไม่แน่นอนและเส้นทางที่ถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง ซึ่งทำให้การเข้าถึงหมู่บ้านที่ประสบภัยเป็นไปได้อย่างล่าช้า คำถามสำคัญในตอนนี้คือ การช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเนปาลและอินเดียจะทันท่วงทีหรือไม่

63 killed in Nepal, India landslides, floods

บทสรุป โศกนาฏกรรมวันนี้ คือคำเตือนถึงโลกทั้งใบในวันพรุ่งนี้

โศกนาฏกรรม น้ำท่วมเนปาล-อินเดีย ในครั้งนี้ เป็นมากกว่าข่าวภัยพิบัติในพื้นที่ห่างไกล แต่มันคือภาพจำลองของอนาคตที่ทุกภูมิภาคทั่วโลกอาจต้องเผชิญในยุคที่สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง สิ่งที่เกิดขึ้นบน “หลังคาโลก” คือบทเรียนและคำเตือนที่ชัดเจนว่า โลกของเราเชื่อมโยงกัน และการกระทำของมนุษย์ในซีกโลกหนึ่งสามารถส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่และสร้างความเสียหายร้ายแรงในอีกซีกโลกหนึ่งได้

การกู้ภัยและการฟื้นฟูเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ความท้าทายที่แท้จริงในระยะยาวคือการปรับตัวและลดความเปราะบางของชุมชนที่อาศัยอยู่ในแนวรบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ซึ่งต้องการความร่วมมือระหว่างประเทศ การลงทุนในเทคโนโลยีเตือนภัย และที่สำคัญที่สุดคือความมุ่งมั่นทางการเมืองที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่รูปแบบการพัฒนาที่ยั่งยืน ก่อนที่ “ความปกติใหม่” ของสภาพอากาศสุดขั้วจะกลืนกินชีวิตผู้คนไปมากกว่านี้

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *