สหรัฐฯ เรียกประชุมกองทัพเวอร์จิเนีย วาระลับปรับยุทธศาสตร์ความมั่นคงโลกในยุคสงครามไฮบริด

ประชุมกองทัพเวอร์จิเนีย

ประชุมกองทัพเวอร์จิเนีย ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่คุกรุ่นทั่วโลก แหล่งข่าวระดับสูงจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ยืนยันถึงการประชุมลับครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งสหรัฐอเมริกาได้เชิญเจ้าหน้าที่กองทัพระดับผู้บัญชาการทหารสูงสุดและเสนาธิการจากประเทศพันธมิตรและหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กว่า 40 ประเทศทั่วโลก เข้าร่วม “เวทีหารือยุทธศาสตร์ความมั่นคงระดับโลก” (Global Security Strategic Dialogue) ที่ฐานทัพนาวิกโยธินควอนติโก รัฐเวอร์จิเนีย การรวมตัวอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี้ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดและจุดประกายการวิเคราะห์ในวงกว้างว่า นี่คือความพยายามของวอชิงตันในการปรับทัพครั้งใหญ่เพื่อรับมือกับ “จุดเปลี่ยนเชิงยุทธศาสตร์” ของโลก ที่ภัยคุกคามไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสนามรบแบบดั้งเดิมอีกต่อไป แต่ได้ขยายสู่สงครามไฮบริด ปัญญาประดิษฐ์ และสมรภูมิในโลกดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ

Inside Hegseth's Quantico mystery meeting, which could cost millions

ประชุมกองทัพเวอร์จิเนีย ควอนติโก ศูนย์บัญชาการลับ กับการรวมตัวที่ไม่ธรรมดา

การเลือกฐานทัพนาวิกโยธินควอนติโก (Marine Corps Base Quantico) เป็นสถานที่จัดการประชุมมีความสำคัญอย่างยิ่ง ควอนติโก ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น “สี่แยกแห่งเหล่านาวิกโยธิน” เป็นที่ตั้งของศูนย์ฝึกอบรมและหน่วยงานสำคัญมากมาย รวมถึงสถาบันวิจัยของ FBI และหน่วยบัญชาการสงครามไซเบอร์ของนาวิกโยธิน การเลือกสถานที่แห่งนี้แทนที่จะเป็นเพนตากอนในใจกลางกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ชี้ให้เห็นถึงความต้องการในการรักษาความลับระดับสูงสุด และเป็นการส่งสัญญาณว่าวาระการประชุมมุ่งเน้นไปที่การปฏิบัติการและการวางยุทธศาสตร์ในมิติใหม่ๆ มากกว่าเรื่องทางการทูตเพียงอย่างเดียว

ตลอด 72 ชั่วโมงที่ผ่านมา การรักษาความปลอดภัยรอบฐานทัพเป็นไปอย่างเข้มงวด มีการจำกัดเขตการบิน (No-fly zone) ชั่วคราว และการเคลื่อนไหวของขบวนรถยนต์ทางการทูตและทหารเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ไร้ซึ่งการประกาศอย่างเป็นทางการต่อสาธารณะ แหล่งข่าวที่ไม่ประสงค์ออกนามระบุว่า การประชุมครั้งนี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยตรงของ นายพลชาร์ลส์ คิว. บราวน์ จูเนียร์ ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วม และ ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ โดยมีตัวแทนจากกลุ่มประเทศ NATO, พันธมิตรหลักนอกกลุ่ม NATO (MNNA) ในอินโด-แปซิฟิกเช่น ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย และหุ้นส่วนสำคัญจากตะวันออกกลางและแอฟริกาเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

อะไรคือ ‘จุดเปลี่ยนเชิงยุทธศาสตร์’? ถอดรหัสวาระการประชุมลับ

คำว่า “จุดเปลี่ยนเชิงยุทธศาสตร์” (Strategic Inflection Point) ที่ถูกอ้างถึงโดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเพนตากอน คือหัวใจสำคัญของการประชุมครั้งนี้ เป็นการยอมรับว่าโลกได้เข้าสู่ยุคที่ความขัดแย้งไม่ได้ถูกตัดสินด้วยกำลังทหารเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป โดยวาระการประชุมลับที่ถูกนำมาหารือกันนั้น คาดว่าครอบคลุมประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้

สงครามหลายมิติ (Multi-Domain Warfare) เหนือกว่า บก-เรือ-อากาศ แนวคิดการทำสงครามแบบดั้งเดิมที่แบ่งแยกเป็นกองทัพบก, เรือ, และอากาศนั้นล้าสมัยไปแล้ว การประชุมนี้มุ่งเน้นไปที่การบูรณาการการปฏิบัติการใน 5 มิติสำคัญพร้อมกัน ได้แก่ บก, เรือ, อากาศ, อวกาศ (การโจมตีระบบดาวเทียมสื่อสารและ GPS) และ ไซเบอร์สเปซ (การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ) เป้าหมายคือการสร้างความสามารถในการตอบสนองแบบไร้รอยต่อ ที่สามารถโอนถ่ายความได้เปรียบจากมิติหนึ่งไปยังอีกมิติหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในสนามรบ และสงครามข้อมูลข่าวสาร การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี AI ได้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของสงครามไปอย่างสิ้นเชิง วาระสำคัญคือการวางกรอบความร่วมมือในการรับมือกับ

  • ระบบอาวุธอัตโนมัติ (Autonomous Weapons) การพัฒนากฎเกณฑ์การใช้โดรนสังหาร (Drone Swarms) และระบบป้องกันที่ขับเคลื่อนด้วย AI
  • ข่าวกรองและการวิเคราะห์ การใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล (Big Data) ในการคาดการณ์ความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม
  • สงครามการรับรู้ (Cognitive Warfare) การต่อต้านปฏิบัติการข่าวสารที่ใช้ AI สร้างข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) และโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) เพื่อบ่อนทำลายเสถียรภาพทางสังคมและการเมืองของประเทศเป้าหมาย

Secret Meeting of Top U.S. Military Generals & Admirals in Virginia! -  YouTube

การป้องปรามแบบบูรณาการ (Integrated Deterrence) นี่คือหลักการสำคัญในยุคของรัฐมนตรีกลาโหม ลอยด์ ออสติน ซึ่งหมายถึงการใช้เครื่องมือทุกอย่างของชาติ ไม่ใช่แค่军事力量อย่างเดียว เพื่อยับยั้งฝ่ายตรงข้าม ซึ่งรวมถึง

  • มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ การประสานงานระหว่างพันธมิตรเพื่อใช้มาตรการทางเศรษฐกิจกดดันฝ่ายตรงข้าม
  • ความร่วมมือทางเทคโนโลยี การควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีสำคัญทางทหารและพลเรือน
  • การทูตเชิงรุก การสร้างแนวร่วมทางการทูตเพื่อโดดเดี่ยวฝ่ายตรงข้ามในเวทีโลก

การประชุมที่ควอนติโกจึงเป็นความพยายามที่จะทำให้หลักการนี้เกิดขึ้นได้จริงในระดับพันธมิตรทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในกระดาษอีกต่อไป

เสียงจากผู้เชี่ยวชาญ การสร้าง ‘พันธมิตรยุคใหม่’ หรือการล้อมกรอบมหาอำนาจ?

นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงระหว่างประเทศมองการประชุมครั้งนี้แตกต่างกันไป ดร. เอลิซาเบธ ไรท์ จากศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และความมั่นคงระหว่างประเทศ (CSIS) ให้ความเห็นว่า “นี่คือการยอมรับความจริงของเพนตากอนว่า สหรัฐฯ ไม่สามารถรับมือกับภัยคุกคามที่ซับซ้อนเหล่านี้ได้โดยลำพัง มันคือความพยายามที่จะสร้าง ‘พันธมิตรยุคใหม่’ (Alliance 2.0) ที่มีความยืดหยุ่นและตอบสนองได้เร็วกว่าโครงสร้างแบบเดิมอย่าง NATO ซึ่งอาจใช้เวลานานในการตัดสินใจ”

ในทางกลับกัน นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่านี่คือการยกระดับการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจอย่างชัดเจน “การไม่เชิญจีนและรัสเซียเข้าร่วมการประชุม เป็นการส่งสารที่ชัดเจนว่าสหรัฐฯ และพันธมิตรกำลังวางแผนยุทธศาสตร์เพื่อ ‘ล้อมกรอบ’ และจำกัดอิทธิพลของสองประเทศนี้” แหล่งข่าวจากสถาบันวิจัยในยุโรปกล่าว “สิ่งนี้อาจนำไปสู่การแบ่งขั้วทางเทคโนโลยีและทางทหารที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงของการคำนวณที่ผิดพลาด”

ผลกระทบต่อภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก สำหรับประเทศในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก การประชุมนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด การเน้นย้ำเรื่องการป้องปรามแบบบูรณาการและการรับมือกับสงครามไฮบริด ตอบโจทย์ความกังวลของหลายประเทศที่กำลังเผชิญกับการคุกคามใน “เขตสีเทา” (Gray-zone tactics) เช่น การใช้กองเรือประมงติดอาวุธ, การโจมตีทางไซเบอร์ต่อหน่วยงานรัฐ, และการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน ความร่วมมือที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นในการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองและเทคโนโลยีป้องกันทางไซเบอร์จึงน่าจะเป็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมที่สุดจากการประชุมครั้งนี้

LIVE: Trump, Hegseth to meet top US military officers at Quantico

บทสรุป ก้าวต่อไปหลังม่านควันแห่งความลับ

ประชุมกองทัพเวอร์จิเนีย แม้การประชุมที่เวอร์จิเนียจะสิ้นสุดลงท่ามกลางความลับ แต่ผลกระทบของมันจะปรากฏให้เห็นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าผ่านการเปลี่ยนแปลงนโยบาย, การซ้อมรบร่วมรูปแบบใหม่, และข้อตกลงความร่วมมือด้านความมั่นคงที่เพิ่มขึ้น นี่ไม่ใช่แค่การประชุม แต่เป็นการวางรากฐานสำหรับ “กฎกติกา” ใหม่ของความมั่นคงโลกในศตวรรษที่ 21

โลกกำลังเฝ้าจับตาว่า “ฉันทามติแห่งควอนติโก” จะนำไปสู่เสถียรภาพที่ยั่งยืนผ่านความร่วมมือที่แข็งแกร่งขึ้น หรือจะกลายเป็นชนวนที่เร่งให้เกิดการเผชิญหน้าในยุคใหม่ของสงครามที่เส้นแบ่งระหว่างสันติภาพและความขัดแย้งนั้นเบลอเลือนกว่าที่เคยเป็นมา

 

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *