เกาหลีใต้ปลดล็อก ‘รอยสัก’ การปฏิวัติทางกฎหมายที่สะเทือนเศรษฐกิจและวัฒนธรรม K-Culture ทั่วโลก

กฎหมายสักเกาหลีใต้

กฎหมายสักเกาหลีใต้ ในที่สุด รัฐสภาเกาหลีใต้ก็ได้มีมติผ่านร่างกฎหมายครั้งประวัติศาสตร์ อนุญาตให้ผู้ที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์สามารถประกอบอาชีพช่างสักได้อย่างถูกกฎหมาย ถือเป็นการปิดฉากการถกเถียงและต่อสู้ทางกฎหมายที่ยาวนานกว่า 3 ทศวรรษ การตัดสินใจครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการปลดปล่อยศิลปินช่างสักหลายแสนคนออกจากสถานะ “อาชีพใต้ดิน” แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่การปฏิรูปเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ ทั้งในมิติทางสังคมและวัฒนธรรมที่กำลังเปลี่ยนผ่าน และที่สำคัญคือการปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรม “K-Tattoo” ที่คาดว่ามีมูลค่ากว่า 1.2 ล้านล้านวอน (ประมาณ 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ให้พร้อมก้าวขึ้นมาเป็นอีกหนึ่ง Soft Power สำคัญของเกาหลีใต้บนเวทีโลก

Korea legalizes tattooing by nonmedical professionals after 33-year ban -  The Korea Times

กฎหมายสักเกาหลีใต้ ย้อนรอย 3 ทศวรรษ การต่อสู้ของช่างสักในเงาใต้คำตัดสินศาล

เพื่อให้เข้าใจถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ จำเป็นต้องย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) เมื่อศาลฎีกาของเกาหลีใต้ได้มีคำพิพากษาครั้งสำคัญว่า การสักถือเป็น “หัตถการทางการแพทย์” เนื่องจากมีการใช้เข็มแทงทะลุผิวหนัง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพและการติดเชื้อได้ ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่สามารถให้บริการสักได้อย่างถูกกฎหมายจึงมีเพียงแพทย์ที่มีใบอนุญาตเท่านั้น

คำตัดสินดังกล่าวได้ผลักดันให้อาชีพช่างสัก ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากในเกาหลีใต้ กลายเป็นอาชีพที่ผิดกฎหมายในทันที ช่างสักหลายแสนคนต้องดำเนินธุรกิจในรูปแบบของ “สตูดิโอใต้ดิน” โดยมีความเสี่ยงที่จะถูกจับกุมและดำเนินคดีอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าในความเป็นจริง การบังคับใช้กฎหมายจะไม่ได้เข้มงวดมากนัก แต่สถานะที่คลุมเครือนี้ได้สร้างปัญหามากมาย

  • ขาดการคุ้มครองทางกฎหมาย ช่างสักไม่สามารถทำประกัน, ขอสินเชื่อ, หรือได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานได้เหมือนอาชีพอื่นๆ
  • ไม่มีมาตรฐานกลาง การที่อุตสาหกรรมต้องหลบซ่อน ทำให้ขาดการกำกับดูแลในเรื่องมาตรฐานความสะอาด, ความปลอดภัย และสุขอนามัยอย่างเป็นระบบ
  • อุปสรรคต่อการเติบโต ศิลปินช่างสักที่มีฝีมือระดับโลกของเกาหลีใต้ไม่สามารถเปิดสตูดิโออย่างเปิดเผยหรือเข้าร่วมการแข่งขันในนามประเทศได้อย่างเต็มภาคภูมิ

ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา กลุ่มสมาคมช่างสักและนักกิจกรรมทางสังคมได้พยายามยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหลายครั้งเพื่อโต้แย้งว่ากฎหมายดังกล่าวละเมิดสิทธิในการประกอบอาชีพและจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกทางศิลปะ แต่ก็ถูกปฏิเสธมาโดยตลอด โดยศาลยังคงยึดมั่นในเหตุผลด้านความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก

พลังแห่งการเปลี่ยนแปลง K-Pop และทัศนคติของคนรุ่นใหม่ที่ทลายกำแพงอคติ

จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดอาจไม่ได้เกิดขึ้นในห้องพิจารณาคดี แต่เกิดขึ้นในกระแสวัฒนธรรมสมัยนิยม หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ฮันรยู” (Hallyu Wave) การเพิ่มขึ้นของศิลปิน K-Pop และนักแสดงชื่อดังที่มีรอยสักและแสดงออกอย่างเปิดเผย ได้เข้ามาทลายภาพลักษณ์เดิมๆ ที่สังคมเกาหลีเคยมองว่ารอยสักเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มอันธพาลหรือผู้ประกอบอาชญากรรม

ศิลปินอย่าง จองกุก (Jungkook) แห่งวง BTS, จี-ดรากอน (G-Dragon) แห่งวง BIGBANG, และนักแสดงอีกมากมาย ได้ทำให้รอยสักกลายเป็นส่วนหนึ่งของแฟชั่นและการแสดงออกถึงตัวตนในสายตาของคนรุ่นใหม่ สิ่งนี้ได้ส่งผลโดยตรงต่อทัศนคติของสาธารณชน ผลสำรวจความคิดเห็นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาโดย Gallup Korea พบว่าประชาชนกว่า 51% สนับสนุนการทำให้การสักโดยช่างสักเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของสังคมอย่างชัดเจน

กระแส K-Culture ไม่เพียงเปลี่ยนมุมมองต่อรอยสัก แต่ยังทำให้ศิลปะการสักของเกาหลีเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ สไตล์การสักแบบมินิมอล, การใช้สีน้ำ, และการออกแบบที่ละเอียดอ่อนของช่างสักเกาหลี (ที่รู้จักในนาม “K-Tattoo”) ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่ชาวต่างชาติ สร้างชื่อเสียงและดึงดูด “นักท่องเที่ยวสายรอยสัก” ให้เดินทางมายังเกาหลีใต้ แม้จะต้องใช้บริการในสตูดิโอที่ยังไม่ถูกกฎหมายก็ตาม

South Korean tattooists to work without a medical licence

การปลดล็อกเศรษฐกิจมูลค่า 1.2 ล้านล้านวอน อนาคตของอุตสาหกรรม “K-Tattoo”

การผ่านกฎหมายฉบับใหม่นี้คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรม เป็นการนำเศรษฐกิจใต้ดินมูลค่ามหาศาลขึ้นมาอยู่บนดินอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงบวกในหลายมิติ

การสร้างมาตรฐานและใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ รัฐบาลเกาหลีใต้ โดยเฉพาะ กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการ (Ministry of Health and Welfare) จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการกำหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานสำหรับอาชีพช่างสัก ซึ่งคาดว่าจะครอบคลุมถึง

  • การจัดอบรมภาคบังคับ ช่างสักทุกคนจะต้องผ่านการอบรมด้านสุขอนามัย, ความปลอดภัย, การป้องกันการติดเชื้อ และการจัดการอุปกรณ์อย่างถูกต้อง
  • ระบบการออกใบอนุญาต จะมีการจัดตั้งระบบการสอบและออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ให้บริการมีคุณสมบัติครบถ้วน
  • การตรวจสอบสถานประกอบการ สตูดิโอสักจะต้องจดทะเบียนอย่างถูกต้องและผ่านการตรวจสอบมาตรฐานความสะอาดและความปลอดภัยเป็นประจำ

การเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน การทำให้อาชีพนี้ถูกกฎหมายคาดว่าจะสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล

  • การจ้างงาน คาดว่ามีช่างสักในเกาหลีใต้ราว 350,000 คน (รวมช่างสักเพื่อความงาม เช่น การสักคิ้ว, ขอบตา) ซึ่งคนกลุ่มนี้จะเข้าสู่ระบบการจ้างงานที่ถูกกฎหมาย
  • การจัดเก็บภาษี รัฐบาลจะสามารถจัดเก็บภาษีจากธุรกิจสักได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งจะนำรายได้มหาศาลกลับเข้าสู่ประเทศ
  • การส่งออกวัฒนธรรม “K-Tattoo” มีศักยภาพที่จะกลายเป็นสินค้าส่งออกทางวัฒนธรรมตัวใหม่ที่แข็งแกร่ง ต่อจาก K-Pop, K-Drama, และ K-Beauty โดยอาจมีการจัดงานเทศกาลรอยสักนานาชาติ, การเปิดโรงเรียนสอนสัก, และการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

เสียงสะท้อนจากสองฟากฝั่ง ความปลอดภัยทางการแพทย์ ปะทะ สิทธิในการประกอบอาชีพ

แม้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะได้รับการตอบรับอย่างดีจากช่างสักและประชาชนส่วนใหญ่ แต่ก็ยังคงมีเสียงคัดค้านจาก สมาคมแพทย์เกาหลี (Korean Medical Association – KMA) ซึ่งแสดงความกังวลมาโดยตลอด ประเด็นหลักของ KMA คือความเสี่ยงด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นหากผู้ให้บริการขาดความรู้ความเข้าใจทางการแพทย์ที่เพียงพอ เช่น การเกิดปฏิกิริยาแพ้สี, การติดเชื้อร้ายแรง, หรือการจัดการกับภาวะแทรกซ้อน

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายสนับสนุนได้โต้แย้งว่า การนำอุตสาหกรรมขึ้นมาอยู่บนดินและสร้างระบบกำกับดูแลที่เข้มแข็ง คือวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด เพราะจะทำให้ผู้บริโภคได้รับการคุ้มครองมากกว่าการปล่อยให้เป็นธุรกิจใต้ดินที่ตรวจสอบไม่ได้ พวกเขายังชี้ให้เห็นว่าในหลายประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, และออสเตรเลีย ก็มีระบบใบอนุญาตสำหรับช่างสักที่ไม่ใช่แพทย์ ซึ่งสามารถดำเนินงานได้อย่างปลอดภัยและมีมาตรฐาน

South Korea legalises tattooing by nonmedical professionals after 33 years  - South Korea legalises tattooing by nonmedical professionals after 33  years -

บทสรุปและก้าวต่อไปของเกาหลีใต้

กฎหมายสักเกาหลีใต้ การผ่านกฎหมายอนุญาตให้ช่างสักที่ไม่ใช่แพทย์สามารถประกอบอาชีพได้อย่างถูกต้อง ถือเป็นจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ของเกาหลีใต้ มันคือบทสรุปของการต่อสู้ที่ยาวนาน และเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ที่ศิลปะบนเรือนร่างได้รับการยอมรับในฐานะอาชีพที่ถูกกฎหมายและเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมสมัยใหม่

การเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นมากกว่าแค่เรื่องของรอยสัก แต่เป็นภาพสะท้อนของสังคมเกาหลีใต้ที่กำลังเปลี่ยนผ่าน เปิดกว้าง และพร้อมที่จะปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย การผสานพลังของวัฒนธรรม K-Pop เข้ากับศักยภาพทางเศรษฐกิจ จะเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่ผลักดันให้ “K-Tattoo” กลายเป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับโลก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่าเกาหลีใต้มีความสามารถในการสร้างและส่งออก Soft Power ได้อย่างไม่หยุดนิ่ง

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *