โครงการนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ ในขณะที่ประชาคมโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ที่หลากหลาย รายงานข่าวกรองล่าสุดที่น่าสะพรึงกลัวได้ดึงความสนใจกลับมายังคาบสมุทรเกาหลีอีกครั้ง โดยระบุว่า โครงการนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ อาจมีความสามารถในการผลิตและครอบครอง ยูเรเนียมเสริมสมรรถนะสูง (HEU) ในปริมาณมากกว่า 2,000 กิโลกรัม (2 ตัน) ซึ่งเป็นปริมาณที่มากเพียงพอสำหรับสร้างระเบิดนิวเคลียร์ได้หลายสิบลูก การเปิดเผยข้อมูลนี้ไม่เพียงแต่เป็นเพียงการอัปเดตตัวเลขในคลังแสงอาวุธของเปียงยาง แต่ยังถือเป็นจุดเปลี่ยนที่น่ากังวลอย่างยิ่ง มันบ่งชี้ว่าเส้นทางการพัฒนานิวเคลียร์ผ่าน “ยูเรเนียม” ซึ่งติดตามและตรวจสอบได้ยากกว่าเส้นทาง “พลูโตเนียม” ได้ประสบความสำเร็จในระดับอุตสาหกรรมแล้ว สถานการณ์นี้กำลังส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก ท้าทายประสิทธิภาพของมาตรการคว่ำบาตรที่ดำเนินมานานหลายทศวรรษ และบังคับให้มหาอำนาจต้องประเมินสมการความมั่นคงในเอเชียตะวันออกใหม่อีกครั้ง
โครงการนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ เจาะลึกรายงานล่าสุด ตัวเลข 2 ตันมาจากไหนและบอกอะไรเรา?
ข้อมูลปริมาณยูเรเนียมเสริมสมรรถนะกว่า 2 ตันนี้ ไม่ได้มาจากการประกาศอย่างเป็นทางการของรัฐบาลเกาหลีเหนือ แต่มาจากการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่ง ทั้งภาพถ่ายดาวเทียมพาณิชย์, รายงานจากหน่วยข่าวกรองของเกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกา รวมถึงการประเมินโดยสถาบันวิจัยและคลังสมองชั้นนำด้านความมั่นคง เช่น สถาบันวิทยาศาสตร์และความมั่นคงระหว่างประเทศ (ISIS) และศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และการต่างประเทศ (CSIS)
ตัวเลข “2 ตัน” มีนัยสำคัญอย่างยิ่งในเชิงเทคนิคและยุทธศาสตร์
- ศักยภาพในการผลิตอาวุธ ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า ยูเรเนียมเสริมสมรรถนะสูงประมาณ 25 กิโลกรัม คือปริมาณที่จำเป็นสำหรับการสร้างระเบิดนิวเคลียร์ 1 ลูก (แม้เทคโนโลยีที่สูงขึ้นอาจใช้ปริมาณน้อยลง) ดังนั้น คลังสะสม 2,000 กิโลกรัม จึงหมายถึงศักยภาพในการสร้างหัวรบนิวเคลียร์ได้มากถึง 80 ลูก ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าการประเมินก่อนหน้านี้อย่างมีนัยสำคัญ
- ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การสามารถผลิต HEU ได้ในปริมาณระดับนี้ บ่งชี้ว่าเกาหลีเหนือมีโรงงานเสริมสมรรถนะที่ใช้เครื่องหมุนเหวี่ยง (Centrifuges) ทำงานอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพเป็นจำนวนมาก และอาจมีโรงงานลักษณะนี้กระจายตัวอยู่หลายแห่งทั่วประเทศ ซึ่งบางแห่งอาจเป็นโรงงานลับใต้ดินที่หน่วยข่าวกรองต่างชาติยังไม่เคยค้นพบ
ตัวเลขนี้จึงเป็นสัญญาณเตือนว่า โครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือได้ก้าวข้ามจากระยะทดลองไปสู่ “ระยะการผลิตเต็มรูปแบบ” แล้ว ซึ่งทำให้การเจรจาเพื่อปลดอาวุธนิวเคลียร์ในอนาคตทำได้ยากขึ้นแบบทวีคูณ
“ยูเรเนียม” เส้นทางสู่คลังแสงนิวเคลียร์ที่น่ากังวลกว่า “พลูโตเนียม”
ในอดีต โลกมักจับจ้องไปที่โครงการพลูโตเนียมของเกาหลีเหนือ ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ใน ศูนย์วิจัยนิวเคลียร์ยองบยอน เนื่องจากการผลิตพลูโตเนียมต้องใช้เตาปฏิกรณ์ขนาดใหญ่ที่สังเกตเห็นและติดตามความเคลื่อนไหวผ่านดาวเทียมได้ง่าย แต่เส้นทางการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมกลับเป็นเรื่องที่น่ากังวลกว่ามาก ด้วยเหตุผลดังนี้
- ความยากในการตรวจจับ โรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมสามารถสร้างขึ้นในอาคารธรรมดาหรือแม้กระทั่งใต้ดินได้ โดยใช้พื้นที่น้อยกว่ามากและไม่มีสัญญาณความร้อน (Heat Signature) ที่ชัดเจนเท่าเตาปฏิกรณ์ ทำให้ยากต่อการค้นหาและประเมินกำลังการผลิตที่แท้จริง
- ความยืดหยุ่นในการผลิต เกาหลีเหนือสามารถขยายกำลังการผลิตได้อย่างรวดเร็วเพียงแค่เพิ่มจำนวนเครื่องหมุนเหวี่ยง ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำได้ง่ายกว่าการสร้างเตาปฏิกรณ์ใหม่ทั้งเตา
- แหล่งวัตถุดิบในประเทศ เกาหลีเหนือมีแหล่งแร่ยูเรเนียมสำรองจำนวนมาก ทำให้สามารถพึ่งพาตนเองในการจัดหาวัตถุดิบสำหรับโครงการได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องกังวลต่อมาตรการคว่ำบาตรที่จำกัดการนำเข้าวัสดุจากต่างประเทศ
ยองบยอนและโรงงานปริศนา หัวใจของโครงการเสริมสมรรถนะ
แม้ว่าทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) จะไม่สามารถส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบในเกาหลีเหนือได้อีกต่อไป แต่จากการติดตามผ่านดาวเทียม IAEA ได้รายงานอย่างต่อเนื่องถึงกิจกรรมที่น่าสงสัยในยองบยอน รวมถึงการเดินเครื่องโรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมและการก่อสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบน้ำมวลเบา (Experimental Light Water Reactor – ELWR) ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อผลิตทริเทียม (Tritium) สำหรับเพิ่มอานุภาพของระเบิดไฮโดรเจน
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เชื่อว่าโรงงานที่ยองบยอนเป็นเพียง “ยอดของภูเขาน้ำแข็ง” และเกาหลีเหนือต้องมีโรงงานเสริมสมรรถนะลับอีกอย่างน้อยหนึ่งแห่งหรือมากกว่านั้น เพื่อให้สามารถผลิต HEU ได้ในปริมาณมหาศาลตามที่รายงานประเมินไว้
เกมการเมืองบนคาบสมุทรเกาหลี ทำไมเปียงยางถึงเร่งเครื่องโครงการนิวเคลียร์?
การทุ่มเททรัพยากรอย่างมหาศาลเพื่อพัฒนาโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธของ คิม จองอึน มีแรงจูงใจที่ซับซ้อนหลายประการ
- หลักประกันความอยู่รอดของระบอบ เกาหลีเหนือมองว่าอาวุธนิวเคลียร์คือ “กรมธรรม์ประกันชีวิต” ที่ดีที่สุดในการป้องกันการแทรกแซงทางทหารหรือความพยายามในการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตร
- เครื่องมือป้องปราม (Deterrence) การมีขีดความสามารถในการโจมตีแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐฯ ด้วยขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) ที่ติดหัวรบนิวเคลียร์ คือการสร้างอำนาจป้องปรามขั้นสูงสุด
- เครื่องมือทางการทูต คลังแสงนิวเคลียร์ที่ใหญ่ขึ้นหมายถึงอำนาจต่อรองที่สูงขึ้น หากมีการกลับสู่โต๊ะเจรจาในอนาคต เกาหลีเหนือจะอยู่ในจุดที่สามารถเรียกร้องข้อแลกเปลี่ยนที่สูงขึ้น เช่น การผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตร หรือการถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากเกาหลีใต้
- ศักดิ์ศรีของชาติ สำหรับระบอบการปกครองแบบเปียงยาง การเป็นรัฐนิวเคลียร์คือการแสดงแสนยานุภาพและยกระดับสถานะของประเทศในเวทีโลก
ปฏิกิริยาสั่นสะเทือนจากนานาชาติ เมื่อมาตรการคว่ำบาตรอาจไม่เพียงพอ
รายงานล่าสุดนี้ได้สร้างความกังวลอย่างหนักให้แก่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก
- สหรัฐอเมริกา ต้องเผชิญกับความจริงที่ว่านโยบาย “การปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์ ตรวจสอบได้ และไม่สามารถย้อนกลับคืน” (CVID) นั้นห่างไกลจากความเป็นจริงมากขึ้นทุกที และอาจต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปสู่ “การควบคุมอาวุธ” (Arms Control) หรือการจำกัดการขยายตัวแทน
- เกาหลีใต้และญี่ปุ่น อยู่ในแนวหน้าของภัยคุกคามโดยตรง รายงานนี้จะยิ่งกระตุ้นให้ทั้งสองประเทศเสริมสร้างความร่วมมือทางทหารกับสหรัฐฯ และพัฒนาระบบป้องกันขีปนาวุธให้ทันสมัยยิ่งขึ้น
- จีนและรัสเซีย แม้จะไม่ต้องการเห็นเกาหลีเหนือเป็นรัฐนิวเคลียร์ แต่ก็ไม่ต้องการเห็นระบอบการปกครองของคิม จองอึน ล่มสลาย ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะสุญญากาศทางอำนาจและวิกฤตผู้ลี้ภัยบริเวณชายแดน ทั้งสองประเทศจึงมีแนวโน้มที่จะคัดค้านการใช้มาตรการกดดันที่รุนแรงขึ้น และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายกลับสู่การเจรจา
- IAEA เรียกร้องอย่างต่อเนื่องให้เกาหลีเหนืออนุญาตให้ผู้ตรวจสอบกลับเข้าไปทำหน้าที่อีกครั้ง เพื่อยืนยันสถานะที่แท้จริงของโครงการและสร้างความโปร่งใส
บทสรุปและแนวโน้มในอนาคต การอยู่ร่วมกับเกาหลีเหนือในฐานะรัฐนิวเคลียร์
โครงการนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ การค้นพบว่าเกาหลีเหนืออาจมีคลังยูเรเนียมเสริมสมรรถนะขนาดใหญ่ เป็นการตอกย้ำความล้มเหลวของแนวทางการทูตและการคว่ำบาตรตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา โลกกำลังถูกบีบให้ต้องยอมรับความจริงใหม่ที่ว่า เกาหลีเหนือไม่เพียงแต่เป็นรัฐนิวเคลียร์โดยพฤตินัย แต่ยังเป็นรัฐนิวเคลียร์ที่มีศักยภาพในการขยายคลังแสงได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
แนวโน้มในอนาคตจึงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและอันตราย ความเสี่ยงที่จะเกิดการคำนวณผิดพลาดจนนำไปสู่ความขัดแย้งทางทหารยังคงมีอยู่สูง ในขณะที่ประตูสู่การเจรจาเพื่อปลดอาวุธนิวเคลียร์ดูจะตีบตันลงทุกขณะ ประชาคมโลกอาจต้องเปลี่ยนเป้าหมายระยะสั้นจากการ “ปลดอาวุธ” ที่ดูเป็นไปไม่ได้ มาสู่การ “บริหารจัดการความเสี่ยง” และการป้องกันการแพร่ขยายของเทคโนโลยีนิวเคลียร์ เพื่อซื้อเวลาและหาหนทางในการอยู่ร่วมกับเงาปรมาณูที่เข้มขึ้นและอันตรายมากขึ้นบนคาบสมุทรเกาหลีต่อไป
แหล่งที่มาจาก : am2con