โปรตุเกสรับรองรัฐปาเลสไตน์ รัฐบาลโปรตุเกสได้ประกาศการตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์ในวันนี้ โดยยืนยันว่าจะเริ่มกระบวนการรับรองสถานะ “รัฐปาเลสไตน์” อย่างเป็นทางการในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า การเคลื่อนไหวนี้ทำให้โปรตุเกสกลายเป็นประเทศล่าสุดในกลุ่มสหภาพยุโรปที่ดำเนินนโยบายตามรอยสเปน, ไอร์แลนด์, และนอร์เวย์ ซึ่งได้ให้การรับรองไปก่อนหน้านี้ ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากพันธมิตรสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกาและอิสราเอล การตัดสินใจของโปรตุเกสไม่ได้เป็นเพียงการแสดงจุดยืนเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็น “การเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์” ที่สำคัญบนกระดานหมากรุกภูมิรัฐศาสตร์โลก ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในนโยบายต่างประเทศของยุโรป และความพยายามที่จะสร้างแรงผลักดันครั้งใหม่ให้กับ “แนวทางสองรัฐ” (Two-State Solution) โดยไม่จำเป็นต้องรอการนำของสหรัฐฯ อีกต่อไป
โปรตุเกสรับรองรัฐปาเลสไตน์ ‘ก้าวเดินแห่งประวัติศาสตร์’ รายละเอียดแถลงการณ์จากรัฐบาลโปรตุเกส
ณ กรุงลิสบอน นายเปาลู รันเฌล (Paulo Rangel) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศโปรตุเกส ได้จัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนทั่วโลก ยืนยันถึงทิศทางนโยบายใหม่ของรัฐบาล “ถึงเวลาแล้วที่ประชาคมระหว่างประเทศจะต้องเปลี่ยนจากคำพูดเป็นการกระทำ” นายรันเฌลกล่าว “การรับรองรัฐปาเลสไตน์ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของกระบวนการสันติภาพ แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่จำเป็น เป็นการยอมรับสิทธิในการกำหนดอนาคตตนเองของชาวปาเลสไตน์ และเป็นการส่งสารที่ชัดเจนว่าแนวทางสองรัฐ ซึ่งเป็นรัฐอิสราเอลและรัฐปาเลสไตน์ที่อาศัยอยู่เคียงข้างกันอย่างสันติและปลอดภัย คือหนทางเดียวที่จะนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืนในภูมิภาค”
ขั้นตอนต่อไป
- รัฐบาลจะยื่นเรื่องให้รัฐสภาลงมติรับรองอย่างเป็นทางการ
- กระทรวงการต่างประเทศจะยกระดับสถานะของคณะผู้แทนทางการทูตปาเลสไตน์ในกรุงลิสบอนให้เทียบเท่าสถานเอกอัครราชทูต
- โปรตุเกสจะดำเนินการตามขอบเขตพรมแดนก่อนปี 1967 โดยมีเยรูซาเลมตะวันออกเป็นเมืองหลวงของปาเลสไตน์ ตามมติของสหประชาชาติ
โดมิโน่เอฟเฟกต์ในยุโรป ตามรอยสเปน, ไอร์แลนด์, และนอร์เวย์
การตัดสินใจของโปรตุเกสครั้งนี้ ตอกย้ำถึงแนวโน้ม “โดมิโน่เอฟเฟกต์” ที่เกิดขึ้นในยุโรปอย่างชัดเจน หลังจากที่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 สเปน, ไอร์แลนด์, และนอร์เวย์ ได้ประสานงานกันประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นการทลายแนวปฏิบัติเดิมของชาติตะวันตกส่วนใหญ่ที่ยึดถือนโยบายว่าจะให้การรับรองก็ต่อเมื่ออิสราเอลและปาเลสไตน์บรรลุข้อตกลงสันติภาพขั้นสุดท้ายแล้วเท่านั้น
การเข้าร่วมของโปรตุเกส ซึ่งมีสายสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ใกล้ชิดกับสเปน ได้เสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มประเทศยุโรปที่ต้องการแสดงบทบาทเชิงรุกทางการทูตมากขึ้น และกำลังสร้างแรงกดดันมหาศาลไปยังประเทศอื่นๆ ในสหภาพยุโรป เช่น เบลเยียม, สโลวีเนีย, และมอลตา ซึ่งต่างก็เคยแสดงท่าทีในลักษณะเดียวกัน
ภูมิทัศน์ภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนไป การท้าทายนโยบายของสหรัฐฯ และอิสราเอล
ท่าทีของโปรตุเกสได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อดุลอำนาจทางการทูตที่มีมายาวนาน และได้รับการตอบสนองที่คาดเดาได้จากวอชิงตันและเทลอาวีฟ
ปฏิกิริยาจากวอชิงตัน ‘การกระทำแต่ฝ่ายเดียวที่ไม่ช่วยสร้างสันติภาพ’
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ออกมาแสดงความผิดหวังต่อการตัดสินใจของโปรตุเกส โดยย้ำจุดยืนเดิมของรัฐบาลสหรัฐฯ “เราเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่าสถานะรัฐปาเลสไตน์จะเกิดขึ้นได้ผ่านการเจรจาโดยตรงระหว่างสองฝ่ายเท่านั้น” แถลงการณ์ระบุ “การให้การรับรองแต่ฝ่ายเดียวจากนานาชาติจะไม่ช่วยส่งเสริมสันติภาพ และอาจทำให้การบรรลุแนวทางสองรัฐยากขึ้นไปอีก เราขอเรียกร้องให้พันธมิตรของเราทำงานร่วมกันเพื่อสร้างเงื่อนไขที่เอื้อต่อการเจรจา”
ท่าทีดังกล่าวสะท้อนถึงความโดดเดี่ยวที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐฯ ในประเด็นนี้ ซึ่งนโยบายที่ผ่านมาถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเอนเอียงเข้าข้างอิสราเอลและล้มเหลวในการผลักดันกระบวนการสันติภาพให้คืบหน้า
อิสราเอลประณาม ‘รางวัลสำหรับผู้ก่อการร้าย’
รัฐบาลอิสราเอลตอบโต้อย่างเกรี้ยวกราด โดยกระทรวงการต่างประเทศได้เรียกตัวเอกอัครราชทูตโปรตุเกสเข้าพบเพื่อประท้วงอย่างเป็นทางการ “การตัดสินใจของโปรตุเกสถือเป็น ‘รางวัลสำหรับผู้ก่อการร้าย’ และเป็นการส่งเสริมแนวทางสุดโต่ง” นายเอลี โคเฮน รัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอลกล่าว “มันเป็นการกระทำที่น่าอดสูซึ่งจะยิ่งทำให้ความขัดแย้งยืดเยื้อออกไป อิสราเอลจะดำเนินการทางการทูตที่จำเป็นเพื่อตอบโต้การตัดสินใจที่บ่อนทำลายความมั่นคงของชาติเรา”
เบื้องหลังการตัดสินใจ แรงผลักดันจากวิกฤตมนุษยธรรมและแรงกดดันภายใน
การเปลี่ยนท่าทีครั้งสำคัญของโปรตุเกสและชาติยุโรปอื่นๆ มีรากฐานมาจากปัจจัยหลายประการที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน
ผลกระทบจากสงครามกาซา
วิกฤตมนุษยธรรมในฉนวนกาซาที่ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้สร้างแรงกดดันอย่างมหาศาลต่อรัฐบาลในยุโรป ภาพความเสียหายและการเสียชีวิตของพลเรือนชาวปาเลสไตน์ได้กระตุ้นให้เกิดกระแสความเห็นอกเห็นใจจากภาคประชาสังคมและสร้างแรงกดดันทางการเมืองภายในประเทศให้รัฐบาลต้องแสดงจุดยืนที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
การเมืองภายในโปรตุเกสและอิทธิพลของฝ่ายซ้าย
รัฐบาลผสมของโปรตุเกสในปัจจุบัน ซึ่งมีพรรคสังคมนิยม (Socialist Party) เป็นแกนนำ มีพรรคฝ่ายซ้ายอื่นๆ ร่วมรัฐบาล ซึ่งพรรคเหล่านี้มีจุดยืนสนับสนุนปาเลสไตน์อย่างแข็งขันมาโดยตลอด การตัดสินใจครั้งนี้จึงเป็นผลมาจากการผลักดันทางการเมืองภายในประเทศ ควบคู่ไปกับความต้องการที่จะแสดงบทบาทที่โดดเด่นขึ้นในเวทีสหภาพยุโรป
ความหมายเชิงสัญลักษณ์และผลกระทบในทางปฏิบัติ
แม้การรับรองสถานะรัฐโดยโปรตุเกสจะไม่เปลี่ยนแปลงสถานการณ์การยึดครองในเวสต์แบงก์ได้ในทันที แต่มันส่งผลกระทบที่สำคัญในหลายด้าน
- การยกระดับทางการทูต ปาเลสไตน์จะมีสถานะทางการทูตที่สูงขึ้นในเวทีโลก สามารถทำสนธิสัญญาและเข้าร่วมองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
- การสร้างแรงกดดันทางการเมือง เพิ่มแรงกดดันทางการเมืองต่ออิสราเอลและสหรัฐฯ ให้กลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาอย่างจริงจัง
- การเสริมสร้างความชอบธรรม เป็นการเสริมสร้างความชอบธรรมให้กับอำนาจบริหารปาเลสไตน์ (Palestinian Authority) ในการเป็นตัวแทนของชาวปาเลสไตน์
บทสรุป (Conclusion) โปรตุเกสรับรองรัฐปาเลสไตน์ การตัดสินใจของโปรตุเกสในการรับรองรัฐปาเลสไตน์ เป็นมากกว่าแค่เชิงสัญลักษณ์ แต่มันคือการประกาศอย่างชัดเจนว่า กระบวนทัศน์ทางการทูตของยุโรปต่อความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์กำลังเปลี่ยนแปลงไป ด้วยความผิดหวังต่อกระบวนการสันติภาพที่หยุดชะงักและแรงกดดันจากวิกฤตมนุษยธรรม ชาติตะวันตกจำนวนมากขึ้นกำลังเลือกที่จะสร้างเส้นทางทางการทูตของตนเอง เพื่อพยายามรื้อฟื้นความหวังให้กับแนวทางสองรัฐที่กำลังจะล่มสลาย การเคลื่อนไหวของโปรตุเกสอาจเป็นเพียงก้าวเล็กๆ แต่เป็นก้าวที่กำลังสร้างแรงกระเพื่อมและวาดแผนที่ทางการทูตของตะวันออกกลางขึ้นมาใหม่ ซึ่งสหรัฐอเมริกาและอิสราเอลจะพบว่าเป็นการยากขึ้นเรื่อยๆ ที่จะเพิกเฉยต่อความเป็นจริงใหม่นี้
แหล่งที่มาจาก : am2con