เพนตากอนจำกัดสื่อ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือ เพนตากอน ได้ออกบันทึกข้อความภายในฉบับใหม่ซึ่งเพิ่มข้อจำกัดในการรายงานข่าวของสื่อมวลชนเกี่ยวกับปฏิบัติการและบุคลากรของกองทัพอย่างมีนัยสำคัญ โดยให้เหตุผลถึงความจำเป็นในการรักษาความปลอดภัยเชิงปฏิบัติการ (Operational Security – OPSEC) ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เต็มไปด้วยภัยคุกคามทางข้อมูลข่าวสารจากรัฐที่เป็นปฏิปักษ์ นโยบายใหม่นี้ได้จุดชนวนการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากองค์กรสื่อและกลุ่มผู้สนับสนุนเสรีภาพสื่อทั่วประเทศ ซึ่งมองว่านี่ไม่ใช่แค่การปรับเปลี่ยนระเบียบการภายใน แต่เป็นความพยายามที่จะปิดกั้นการตรวจสอบจากสาธารณชน และกำลังสั่นคลอนเสาหลักของประชาธิปไตยอเมริกัน นั่นคือ เสรีภาพของสื่อ (Freedom of the Press) บทความนี้จะวิเคราะห์ถึงความสมดุลที่เปราะบางระหว่างความมั่นคงของชาติกับสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อความโปร่งใสและความรับผิดชอบของสถาบันที่ทรงอำนาจที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
เพนตากอนจำกัดสื่อ เปิดบันทึกข้อถกเถียง รายละเอียดข้อจำกัดใหม่และเหตุผลของเพนตากอน
บันทึกข้อความซึ่งถูกส่งไปยังหน่วยงานทุกเหล่าทัพและรั่วไหลสู่สำนักข่าว AP ในช่วงคืนที่ผ่านมา ก่อนที่เพนตากอนจะออกมายืนยันอย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา ได้ระบุถึงแนวปฏิบัติใหม่หลายประการที่เข้มงวดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- การขออนุมัติการสัมภาษณ์ที่เข้มงวดขึ้น การสัมภาษณ์นายทหารในระดับปฏิบัติการ (ตั้งแต่ระดับผู้บังคับกองพันลงมา) ที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการที่กำลังดำเนินอยู่ จะต้องได้รับการอนุมัติล่วงหน้าจากสำนักงานกิจการสาธารณะของเพนตากอนโดยตรง ซึ่งเป็นกระบวนการที่เพิ่มขั้นตอนและอาจทำให้การได้ข้อมูลที่ทันท่วงทีเป็นไปได้ยากขึ้น
- จำกัดการเข้าถึงฐานทัพและพื้นที่ปฏิบัติการ การอนุมัติให้สื่อมวลชนเข้าไปในฐานทัพ, บนเรือรบ, หรือพื้นที่ฝึกซ้อม จะถูกพิจารณาเป็นรายกรณีด้วยมาตรฐานที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวทางยุทธศาสตร์
- การควบคุมข้อมูลที่ไม่ใช่ชั้นความลับ นโยบายใหม่ได้ขยายขอบเขตการควบคุมไปถึงข้อมูลที่ “อ่อนไหวแต่ไม่ใช่ชั้นความลับ” (Sensitive but Unclassified) เช่น รายละเอียดเกี่ยวกับตารางการเคลื่อนย้ายกำลังพล, อุปกรณ์ที่ใช้ในหน่วย, หรือขวัญและกำลังใจของทหาร โดยระบุว่าข้อมูลเหล่านี้อาจถูกนำไปใช้ประโยชน์โดยฝ่ายตรงข้ามได้
- จำกัดการปฏิสัมพันธ์บนโซเชียลมีเดีย มีการแนะนำให้บุคลากรของกองทัพหลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์กับนักข่าวบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียส่วนตัว
พลตรี แพท ไรเดอร์, โฆษกเพนตากอน ได้กล่าวปกป้องนโยบายนี้ในระหว่างการแถลงข่าวว่า “เราไม่ได้อยู่ในโลกยุคปี 1990 อีกต่อไป ปัจจุบัน ปฏิปักษ์ของเราไม่ได้ใช้แค่ขีปนาวุธ แต่ใช้ข้อมูลเป็นอาวุธ พวกเขาวิเคราะห์ทุกรายงานข่าว ทุกโพสต์บนโซเชียลมีเดีย เพื่อหาช่องโหว่และสร้างข้อได้เปรียบ นโยบายเหล่านี้ไม่ได้มีไว้เพื่อปิดบัง แต่มีไว้เพื่อปกป้องชีวิตของทหารของเราและปกป้องความสำเร็จของภารกิจ”
เสียงสะท้อนจากห้องข่าว ‘การโจมตีต่อความโปร่งใสและสิทธิของประชาชน’
องค์กรสื่อและกลุ่มสิทธิพลเมืองได้ออกมาตอบโต้แทบจะในทันที โดยมองว่าเหตุผลด้านความมั่นคงเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อเพิ่มอำนาจการควบคุมของรัฐ
แถลงการณ์จากสมาคมผู้สื่อข่าวเพนตากอน
สมาคมผู้สื่อข่าวเพนตากอน (Pentagon Press Association) ซึ่งเป็นองค์กรตัวแทนของนักข่าวที่ทำงานในกระทรวงกลาโหม ได้ออกแถลงการณ์ประณามนโยบายดังกล่าวว่า “เป็นก้าวที่ถอยหลังอย่างน่าตกใจสำหรับความโปร่งใส นโยบายที่คลุมเครือและกว้างขวางเช่นนี้จะสร้าง ‘ผลกระทบที่น่าหวาดหวั่น’ (Chilling Effect) ทำให้บุคลากรของกองทัพไม่กล้าที่จะพูดความจริงกับสื่อ และจะเปิดทางให้การบอกเล่าเรื่องราวถูกผูกขาดโดยฝ่ายประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลแต่เพียงผู้เดียว”
‘ผลกระทบที่น่าหวาดหวั่น’ ต่อการทำข่าวเชิงสืบสวน
นักข่าวเชิงสืบสวนหลายคนแสดงความกังวลว่า ข้อจำกัดใหม่นี้จะทำให้การตรวจสอบการทำงานของกองทัพเป็นไปได้ยากขึ้นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นประเด็นการจัดซื้อจัดจ้างที่สิ้นเปลือง, ปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศในกองทัพ, หรือความผิดพลาดทางยุทธวิธีในสมรภูมิรบ ซึ่งการรายงานข่าวในอดีตได้นำไปสู่การปฏิรูปที่สำคัญมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
“ประชาชนชาวอเมริกันมีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าเงินภาษีของพวกเขาถูกนำไปใช้อย่างไร และลูกหลานของพวกเขาที่รับใช้ชาติกำลังเผชิญกับอะไรบ้าง” เจมส์ ไรเซน, นักข่าวเจ้าของรางวัลพูลิตเซอร์ กล่าว “นโยบายแบบนี้คือการพยายามดึงม่านมาปิดบังสิ่งเหล่านั้น”
ประวัติศาสตร์บนเส้นลวด สมดุลที่เปราะบางระหว่างความมั่นคงและเสรีภาพสื่อ
ความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพสหรัฐฯ และสื่อมวลชนเต็มไปด้วยความตึงเครียดและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
- สงครามเวียดนาม ถูกเรียกว่าเป็น “สงครามในห้องนั่งเล่น” (Living Room War) เพราะนักข่าวสามารถเข้าถึงพื้นที่การรบได้อย่างค่อนข้างเสรี และรายงานภาพความโหดร้ายกลับมายังสาธารณชน ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างกระแสต่อต้านสงคราม
- สงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรก เพนตากอนเริ่มควบคุมการเข้าถึงของสื่ออย่างเข้มงวด ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการ “ฆ่าเชื้อ” ข่าวสงคราม
- สงครามในอิรักและอัฟกานิสถาน มีการนำระบบ “นักข่าวฝังตัว” (Embedded Journalists) มาใช้ ซึ่งเปิดโอกาสให้นักข่าวได้เข้าไปในพื้นที่ปฏิบัติการพร้อมกับหน่วยทหาร แลกกับการต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด แม้จะให้ภาพที่ใกล้ชิด แต่ก็ถูกวิจารณ์ว่าอาจทำให้ขาดความเป็นกลาง
‘เพนตากอนเปเปอร์ส’ และบทบาทของสื่อในฐานะผู้ตรวจสอบ
เหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ที่มักถูกหยิบยกมากล่าวถึงคือกรณี “เอกสารเพนตากอน” (Pentagon Papers) ในปี 1971 ที่สื่ออย่าง The New York Times และ The Washington Post ได้ตีพิมพ์เอกสารลับสุดยอดที่เปิดโปงว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ได้โกหกประชาชนเกี่ยวกับสงครามเวียดนามมานานหลายปี แม้รัฐบาลจะพยายามขัดขวาง แต่ศาลสูงสุดก็ได้ตัดสินให้สื่อมีสิทธิ์ในการเผยแพร่ ซึ่งเป็นการตอกย้ำบทบาทของสื่อในฐานะ “ผู้ตรวจสอบอำนาจรัฐ” (Watchdog) ตามเจตนารมณ์ของ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งที่ 1 (First Amendment)
ภูมิรัฐศาสตร์ในยุคดิจิทัล เมื่อทุกรายงานข่าวคือข้อมูลกรอง
ในขณะที่การปกป้องเสรีภาพสื่อเป็นสิ่งสำคัญ ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าบริบทของสงครามในศตวรรษที่ 21 ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
- ข่าวกรองจากแหล่งข้อมูลเปิด (OSINT) หน่วยข่าวกรองของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะรัสเซียและจีน มีความเชี่ยวชาญอย่างยิ่งในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งข่าวสาธารณะ (Open-Source Intelligence – OSINT) ภาพถ่ายจากสำนักข่าว, บทสัมภาษณ์ทหาร, หรือแม้แต่โพสต์โซเชียลมีเดีย สามารถถูกนำมาปะติดปะต่อกันเพื่อสร้างภาพข่าวกรองเกี่ยวกับขีดความสามารถและแผนการของกองทัพสหรัฐฯ ได้
- สงครามข้อมูลข่าวสาร การเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือน (Disinformation) เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำสงครามยุคใหม่ การควบคุมการไหลของข้อมูลจากฝั่งตนเองจึงถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การป้องกัน
บทสรุป (Conclusion) เพนตากอนจำกัดสื่อ นโยบายจำกัดสื่อฉบับใหม่ของเพนตากอน ได้ลากเส้นแบ่งบนสมรภูมิระหว่างสองค่านิยมหลักของอเมริกาอีกครั้ง ในขณะที่กระทรวงกลาโหมยืนยันว่านี่คือมาตรการที่จำเป็นเพื่อปกป้องชาติในยุคที่ข้อมูลคืออาวุธ แต่ภาคประชาสังคมและสื่อมวลชนกลับมองว่านี่คือการรุกล้ำสิทธิขั้นพื้นฐานที่อาจนำไปสู่การใช้อำนาจในทางที่ผิดโดยขาดการตรวจสอบถ่วงดุล การถกเถียงครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของเพนตากอนกับนักข่าว แต่เป็นคำถามใจกลางของระบอบประชาธิปไตยทั้งหมดว่า ในโลกที่เต็มไปด้วยภัยคุกคามที่มองไม่เห็น สังคมจะยอมสละเสรีภาพมากเพียงใดเพื่อแลกกับความปลอดภัย และใครคือผู้ที่จะมีอำนาจในการตัดสินใจว่า “ประชาชนควรรู้อะไร”
แหล่งที่มาจาก : am2con