ม็อบขวาจัดเนเธอร์แลนด์ ท้องถนนในเมืองรอตเตอร์ดัม (Rotterdam) เมืองท่าสำคัญของเนเธอร์แลนด์ แปรสภาพเป็นสมรภูมิแห่งความโกลาหลเมื่อคืนที่ผ่านมา หลังการชุมนุมประท้วงของกลุ่มขวาจัดและกลุ่มชาตินิยมหลายพันคนบานปลายกลายเป็นการปะทะอย่างรุนแรงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจล เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ประเทศจะมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งสำคัญ ซึ่งถูกจับตามองจากทั่วยุโรป ความรุนแรงที่ปะทุขึ้นไม่ได้เป็นเพียงเหตุการณ์ความไม่สงบธรรมดา แต่เป็นภาพสะท้อนของ “อุณหภูมิทางการเมืองที่ใกล้จุดเดือด” และเป็นอาการของ ความแตกแยกทางสังคมและวัฒนธรรม (Social & Cultural) ที่ฝังรากลึก บทความนี้จะวิเคราะห์ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นผลพวงจากความคับข้องใจในประเด็นผู้อพยพและนโยบายของสหภาพยุโรปอย่างไร และความรุนแรงครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อผลการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางอนาคตของเนเธอร์แลนด์ในเวทีระหว่างประเทศอย่างไร
ม็อบขวาจัดเนเธอร์แลนด์ เปลวไฟในรอตเตอร์ดัม ลำดับเหตุการณ์ปะทะเดือดใจกลางเมือง
การประท้วงซึ่งจัดขึ้นภายใต้สโลแกน “เพื่ออธิปไตยของเนเธอร์แลนด์” (For Dutch Sovereignty) ได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองขวาจัดหลายกลุ่ม รวมถึงพรรคเพื่อเสรีภาพ (PVV) ของนักการเมืองชื่อดังอย่าง เคียร์ต วิลเดอร์ส (Geert Wilders) โดยมีเป้าหมายเพื่อแสดงพลังต่อต้านนโยบายผู้อพยพของรัฐบาลและกฎระเบียบที่เข้มงวดของสหภาพยุโรป
สถานการณ์เริ่มตึงเครียดขึ้นในช่วงเย็น เมื่อกลุ่มผู้ประท้วงเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้าน (Counter-protesters) ที่มาแสดงพลังสนับสนุนความหลากหลายทางวัฒนธรรม
- จุดเริ่มต้นของความรุนแรง การยั่วยุด้วยวาจาจากทั้งสองฝ่ายนำไปสู่การขว้างปาสิ่งของเข้าใส่กันอย่างรวดเร็ว ก่อนที่กลุ่มผู้ประท้วงขวาจัดจะเบนเป้าหมายไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้ามาควบคุมสถานการณ์
- การตอบโต้ของเจ้าหน้าที่ ผู้ประท้วงได้จุดพลุไฟ, ขว้างปาก้อนอิฐ, และทุบทำลายทรัพย์สินสาธารณะ ทำให้ตำรวจต้องตัดสินใจใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด รวมถึงการใช้โล่, กระบอง, และรถฉีดน้ำแรงดันสูง (Water Cannon) เพื่อสลายการชุมนุมและควบคุมสถานการณ์
- ความเสียหายและผู้ถูกจับกุม การปะทะกินเวลานานหลายชั่วโมง ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บทั้งในฝั่งตำรวจและผู้ประท้วงหลายสิบราย และมีผู้ถูกจับกุมไปแล้วอย่างน้อย 150 คน นายกเทศมนตรีเมืองรอตเตอร์ดัมได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ใจกลางเมือง
เชื้อไฟแห่งความขัดแย้ง อะไรคือสิ่งที่ขับเคลื่อนม็อบขวาจัด?
ความโกรธแค้นที่ระเบิดออกมาบนท้องถนนไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ แต่เป็นผลลัพธ์ของความไม่พอใจที่สั่งสมมานานในหลายประเด็น ซึ่งพรรคขวาจัดได้นำมาใช้เป็นเครื่องมือในการปลุกระดมทางการเมืองอย่างได้ผล
วิกฤตคนเข้าเมืองและ ‘การสูญเสียอัตลักษณ์’
ประเด็นที่เปราะบางที่สุดคือเรื่องผู้อพยพและผู้ลี้ภัย เนเธอร์แลนด์เช่นเดียวกับหลายประเทศในยุโรป กำลังเผชิญกับความท้าทายในการรองรับผู้ลี้ภัยจำนวนมาก ซึ่งกลุ่มขวาจัดได้โหมกระพือความกลัวว่าสิ่งนี้จะนำไปสู่
- ภาระต่อระบบสวัสดิการ ข้อกล่าวหาที่ว่าผู้อพยพเข้ามาแย่งชิงทรัพยากรและทำให้รัฐต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายมหาศาล
- ภัยคุกคามต่อวัฒนธรรมดัตช์ วาทกรรมที่ว่าการหลั่งไหลของชาวต่างชาติกำลังทำลาย “อัตลักษณ์” และ “ค่านิยม” ดั้งเดิมของเนเธอร์แลนด์
- ความกังวลด้านความปลอดภัย การเชื่อมโยงผู้อพยพเข้ากับอัตราอาชญากรรมที่เพิ่มสูงขึ้น
ความคับข้องใจทางเศรษฐกิจและนโยบายของสหภาพยุโรป
นอกเหนือจากประเด็นทางวัฒนธรรม ยังมีความไม่พอใจเชิงเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง
- วิกฤตค่าครองชีพ แม้เศรษฐกิจโดยรวมของเนเธอร์แลนด์จะแข็งแกร่ง แต่ประชาชนจำนวนมากยังคงรู้สึกถึงผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อและราคาพลังงานที่สูงขึ้น
- นโยบายไนโตรเจน กฎระเบียบที่เข้มงวดของสหภาพยุโรปที่มุ่งลดการปล่อยไนโตรเจน ได้สร้างความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับเกษตรกรชาวดัตช์ ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของกลุ่มขวาจัด ทำให้เกิดความรู้สึกว่า “บรัสเซลส์” (ที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ EU) กำลังเข้ามาแทรกแซงและทำลายวิถีชีวิตของพวกเขา
‘ปรากฏการณ์วิลเดอร์ส’ จากพรรคชายขอบสู่ศูนย์กลางอำนาจ
เหตุการณ์นี้ไม่สามารถแยกออกจากบริบทของ “ปรากฏการณ์เคียร์ต วิลเดอร์ส” ได้ หลังจากที่พรรค PVV ของเขาสร้างปรากฏการณ์ช็อกโลกด้วยการชนะการเลือกตั้งเมื่อปลายปี 2566 และกลายเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดในรัฐสภา วิลเดอร์สได้เปลี่ยนภูมิทัศน์การเมืองของเนเธอร์แลนด์ไปอย่างสิ้นเชิง
แม้ว่าการจัดตั้งรัฐบาลผสมจะประสบความยากลำบากและใช้เวลายาวนาน แต่ชัยชนะของเขาก็ได้มอบความชอบธรรมให้กับแนวคิดชาตินิยมและต่อต้านผู้อพยพในกระแสหลัก การประท้วงที่รุนแรงในครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นความพยายามของฐานเสียงที่แข็งกร้าวของเขาในการแสดงพลังและกดดันพรรคการเมืองอื่นๆ ก่อนการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
ผลกระทบต่อสนามเลือกตั้ง ความรุนแรงจะเปลี่ยนคะแนนเสียงหรือไม่?
คำถามที่สำคัญที่สุดในขณะนี้คือ เหตุการณ์ปะทะที่รอตเตอร์ดัมจะส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งอย่างไร ซึ่งนักวิเคราะห์การเมืองมองว่าอาจเป็นไปได้ทั้งสองทาง
การแข็งตัวของฐานเสียง หรือ การผลักไสผู้มีสิทธิ์สายกลาง?
- การปลุกเร้าฐานเสียง (Rallying the Base) สำหรับผู้สนับสนุนขวาจัด ความรุนแรงอาจถูกมองว่าเป็นการตอบโต้ที่สมเหตุสมผลต่อ “ความล้มเหลวของรัฐ” และ “การยั่วยุของฝ่ายซ้าย” ซึ่งอาจยิ่งทำให้พวกเขาผนึกกำลังกันเหนียวแน่นยิ่งขึ้นและมุ่งมั่นที่จะออกไปลงคะแนนให้พรรคขวาจัด
- การผลักไสผู้มีสิทธิ์สายกลาง (Alienating Moderates) ในทางกลับกัน ภาพความรุนแรงและความโกลาหลอาจทำให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ยังไม่ตัดสินใจ (Swing Voters) รู้สึกหวาดกลัว และเลือกที่จะหันไปสนับสนุนพรรคการเมืองสายกลางที่มีนโยบายประนีประนอมและเน้นเสถียรภาพมากกว่า
ปฏิกิริยาจากพรรคการเมืองคู่แข่ง
ผู้นำพรรคการเมืองสายกลางและฝ่ายซ้ายต่างออกมาประณามความรุนแรงอย่างพร้อมเพรียงกัน พร้อมทั้งชี้ไปที่วาทกรรมของเคียร์ต วิลเดอร์ส ว่าเป็นผู้ “จุดไฟแห่งความเกลียดชัง” และต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งคาดว่าประเด็นนี้จะกลายเป็นหัวข้อหลักในการโต้วาทีทางการเมืองในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง
บทสรุป (Conclusion) ม็อบขวาจัดเนเธอร์แลนด์ การต่อสู้บนท้องถนนของเมืองรอตเตอร์ดัมได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่การต่อสู้เพื่อแย่งชิง “จิตวิญญาณ” ของเนเธอร์แลนด์เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง ความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้เผยให้เห็นถึงรอยแยกที่ลึกและอันตรายในสังคมดัตช์ ซึ่งถูกแบ่งขั้วด้วยมุมมองต่อโลก, อัตลักษณ์, และอนาคตของชาติที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงการเลือกตั้งทั่วไป แต่ได้กลายเป็นประชามติที่สำคัญต่อทิศทางของประเทศ ว่าจะยังคงยึดมั่นในค่านิยมแห่งความอดทนอดกลั้นและความร่วมมือระหว่างประเทศซึ่งเป็นรากฐานของยุโรปยุคใหม่ หรือจะหันเหไปสู่เส้นทางของลัทธิชาตินิยมที่โดดเดี่ยวและแข็งกร้าวมากขึ้น ผลลัพธ์ที่ออกมาจะส่งแรงสั่นสะเทือนไปไกลเกินกว่าพรมแดนของเนเธอร์แลนด์อย่างแน่นอน
แหล่งที่มาจาก : am2con