ท่ามกลางคลื่นลมที่ปั่นป่วนอยู่เสมอในน่านน้ำ ทะเลจีนใต้ คำเตือนที่แข็งกร้าวจากโฆษก กองทัพจีน ที่ระบุให้ฟิลิปปินส์ “หยุดพฤติการณ์ยั่วยุทั้งหมด” อาจดูเหมือนเป็นอีกหนึ่งบทของความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ แต่สำหรับผู้สังเกตการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นี่คือสัญญาณล่าสุดที่ตอกย้ำว่า ข้อพิพาททะเลจีนใต้ ได้แปรสภาพจากการช่วงชิงทรัพยากรและอธิปไตยระหว่างชาติเพื่อนบ้าน ไปสู่การเป็นสมรภูมิแนวหน้าของการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสองมหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐอเมริกาและจีนโดยสมบูรณ์แล้ว ความสัมพันธ์ จีน ฟิลิปปินส์ ที่ทวีความตึงเครียดขึ้นทุกขณะ โดยเฉพาะบริเวณ สันดอนโธมัสที่สอง ได้กลายเป็นบททดสอบสำคัญของพันธะทางทหารระหว่างมะนิลากับวอชิงตัน และกำลังลากเส้นแบ่งที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
บทความนี้จะวิเคราะห์เชิงลึกถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่จุดชนวนคำเตือนจากปักกิ่ง สำรวจการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งสำคัญของฟิลิปปินส์ และเจาะลึกบทบาทของสหรัฐอเมริกาที่ทำให้ความขัดแย้งครั้งนี้อาจเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของ “สงครามเย็นยุคใหม่” ที่กำลังก่อตัว
ทะเลจีนใต้ ‘สันดอนโธมัสที่สอง’ จุดเดือดล่าสุดในข้อพิพาททะเลจีนใต้
เกิดอะไรขึ้นล่าสุดในทะเลจีนใต้? คำเตือนจาก กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) ไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ แต่เป็นปฏิกิริยาโดยตรงต่อปฏิบัติการที่ท้าทายของฟิลิปปินส์เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
- ภารกิจส่งเสบียงที่เดิมพันสูง หน่วยยามฝั่งของฟิลิปปินส์ได้ปฏิบัติภารกิจส่งเสบียงยังชีพและวัสดุก่อสร้างให้แก่ทหารที่ประจำการอยู่บนเรือ BRP Sierra Madre ซึ่งเป็นเรือรบสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ฟิลิปปินส์จงใจปล่อยให้เกยตื้นบนสันดอนโธมัสที่สองตั้งแต่ปี 1999 เพื่อใช้เป็นฐานที่มั่นอ้างสิทธิ์ในพื้นที่
- การเผชิญหน้ากลางทะเล ตลอดเส้นทาง เรือส่งเสบียงของฟิลิปปินส์ถูกเรือหน่วยยามฝั่งและเรือติดอาวุธของจีนหลายลำเข้าสกัดกั้น, แล่นตัดหน้าในระยะกระชั้นชิด, และมีการใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูงในบางครั้ง แต่ในท้ายที่สุด ภารกิจก็สำเร็จลุล่วง
- ปฏิกิริยาจากจีน ความสำเร็จของฟิลิปปินส์ถูกมองโดยปักกิ่งว่าเป็นการ “บุกรุก” และ “ยั่วยุ” อย่างร้ายแรง เนื่องจากจีนอ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนและน่านน้ำทั้งหมดภายใน เส้นประเก้าเส้น ซึ่งครอบคลุมพื้นที่สันดอนดังกล่าว นำมาซึ่งคำแถลงที่แข็งกร้าวจากกองบัญชาการยุทธบริเวณภาคใต้ของ PLA ในเวลาต่อมา
เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ความถี่และความรุนแรงของการเผชิญหน้าได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงสองปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงผู้นำในกรุงมะนิลา
จาก ‘ดูแตร์เต’ สู่ ‘มาร์กอส จูเนียร์’ การพลิกขั้วนโยบายต่างประเทศของฟิลิปปินส์
ทำไมจีนกับฟิลิปปินส์ถึงขัดแย้งกันรุนแรงขึ้น? คำตอบสำคัญอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงนโยบาย 180 องศาของฟิลิปปินส์
- ยุคโรดริโก ดูแตร์เต (2016-2022) อดีตประธานาธิบดีดูแตร์เตเลือกที่จะ “พัก” คำตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศปี 2016 ที่ตัดสินให้ฟิลิปปินส์ชนะคดีและชี้ว่าการอ้างสิทธิ์ของจีนไม่มีมูลทางกฎหมาย เพื่อหันไปสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ดีกับจีน
- ยุคเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ (2022-ปัจจุบัน) ประธานาธิบดี เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ได้เปลี่ยนทิศทางนโยบายอย่างสิ้นเชิง โดยหันกลับไปกระชับความสัมพันธ์กับพันธมิตรดั้งเดิมอย่างสหรัฐอเมริกาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขายืนยันว่าจะไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่ “ตารางนิ้วเดียว” และได้นำคำตัดสินปี 2016 กลับมาเป็นแกนหลักในนโยบายต่างประเทศอีกครั้ง
การ “เลือกข้าง” ที่ชัดเจนขึ้นของมาร์กอส จูเนียร์ ได้รับการตอบสนองอย่างอบอุ่นจากวอชิงตัน และนั่นคือจุดที่ความขัดแย้งระดับภูมิภาคถูกยกระดับขึ้นสู่เวทีการแข่งขันของมหาอำนาจ
‘สนธิสัญญาป้องกันร่วมฯ’ คือคำตอบ? บทบาทของสหรัฐฯ ที่มากกว่าผู้สังเกตการณ์
สหรัฐฯ จะช่วยฟิลิปปินส์ในทะเลจีนใต้หรือไม่? นี่คือคำถามที่สำคัญที่สุด และคำตอบจากวอชิงตันในยุคหลังดูแตร์เตก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
- การยืนยันพันธสัญญา เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ตั้งแต่ประธานาธิบดีไปจนถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกมากล่าวย้ำหลายครั้งว่า สนธิสัญญาป้องกันร่วมกันสหรัฐฯ-ฟิลิปปินส์ปี 1951 นั้นครอบคลุมถึงการโจมตีด้วยอาวุธต่อเรือสาธารณะ, อากาศยาน และกองกำลังของฟิลิปปินส์ “รวมถึงหน่วยยามฝั่ง” ในทะเลจีนใต้
- การเข้าถึงฐานทัพ (EDCA) สหรัฐฯ ได้ขยายข้อตกลงความร่วมมือด้านกลาโหม (EDCA) กับฟิลิปปินส์ ทำให้สามารถเข้าถึงฐานทัพของฟิลิปปินส์ได้เพิ่มอีกหลายแห่ง โดยเฉพาะฐานทัพที่อยู่ทางตอนเหนือใกล้กับไต้หวัน และทางตะวันตกที่หันหน้าออกสู่ทะเลจีนใต้
- การซ้อมรบร่วม ทั้งสองประเทศได้ยกระดับการซ้อมรบร่วมประจำปี “บาลิกาตัน” (Balikatan) ให้มีขนาดใหญ่และซับซ้อนขึ้นอย่างมาก โดยจำลองสถานการณ์การป้องกันการรุกรานจากศัตรู
“ฟิลิปปินส์ไม่ได้เคลื่อนไหวโดยลำพัง” ดร. เรนาโต เดอ คาสโตร, นักวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัยเดอ ลา ซาลล์ ในกรุงมะนิลากล่าว “ความกล้าที่จะท้าทายจีนในทะเลจีนใต้ มาจากการคำนวณแล้วว่าสหรัฐฯ ยืนอยู่ข้างหลังพวกเขาอย่างมั่นคง การกระทำของฟิลิปปินส์จึงเปรียบเสมือนการเดินเกมตามยุทธศาสตร์ที่ใหญ่กว่าของสหรัฐฯ ในการสกัดกั้นอิทธิพลของจีน”
มุมมองจากปักกิ่งและผลกระทบต่ออาเซียน
ในมุมมองของปักกิ่ง การกระทำของฟิลิปปินส์และการเข้ามามีบทบาทของสหรัฐฯ คือการสมคบคิดเพื่อบ่อนทำลายอธิปไตยของจีนและปิดล้อมการขยายอิทธิพลของตนในภูมิภาค จีนยืนกรานในสิทธิทางประวัติศาสตร์เหนือเส้นประเก้าเส้น และมองว่าการเข้ามาของสหรัฐฯ คือการแทรกแซงจาก “อำนาจภายนอก” ที่ต้องการสร้างความแตกแยกในหมู่ประเทศอาเซียน
สำหรับชาติสมาชิกอาเซียนอื่นๆ รวมถึงไทย สถานการณ์นี้สร้างความลำบากใจอย่างยิ่ง
- ความสำคัญทางเศรษฐกิจ ข้อพิพาททะเลจีนใต้ส่งผลต่อไทยอย่างไร? ในทางตรงคือผลกระทบต่อเสรีภาพในการเดินเรือ เนื่องจากทะเลจีนใต้เป็นเส้นทางการค้าทางทะเลที่สำคัญที่สุดเส้นหนึ่งของโลก ความขัดแย้งที่บานปลายอาจทำให้ต้นทุนการขนส่งและประกันภัยสูงขึ้น
- การรักษาสมดุล อาเซียนพยายามที่จะไม่เลือกข้างระหว่างสหรัฐฯ และจีน แต่การกระทำที่แข็งกร้าวของฟิลิปปินส์กำลังท้าทายหลักการความเป็นกลางดังกล่าว และอาจสร้างรอยร้าวภายในกลุ่มหากมีความพยายามที่จะออกแถลงการณ์ร่วมที่ประณามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
บทสรุป ความเสี่ยงของการคำนวณผิดพลาด
คำเตือนล่าสุดจากกองทัพจีนไม่ใช่แค่สงครามน้ำลาย แต่เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าความอดทนของปักกิ่งกำลังลดน้อยลง ในขณะที่ฟิลิปปินส์ซึ่งมีความมั่นใจจากการสนับสนุนของสหรัฐฯ ก็ดูเหมือนจะไม่ยอมถอยเช่นกัน สถานการณ์ในทะเลจีนใต้จึงอยู่ในสภาวะที่เปราะบางอย่างยิ่ง
ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดในขณะนี้คือ “การคำนวณที่ผิดพลาด” (miscalculation) จากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง การเผชิญหน้าระหว่างเรือยามฝั่งที่เกิดขึ้นแทบทุกสัปดาห์ อาจยกระดับไปสู่การปะทะกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งอาจเป็นชนวนให้สนธิสัญญาป้องกันร่วมฯ ระหว่างสหรัฐฯ-ฟิลิปปินส์ถูกนำมาใช้ และดึงมหาอำนาจเข้าสู่ความขัดแย้งโดยตรง อนาคตของสันติภาพและเสถียรภาพในอินโด-แปซิฟิก อาจขึ้นอยู่กับการตัดสินใจในไม่กี่วินาทีของกัปตันเรือลำเล็กๆ ท่ามกลางคลื่นลมที่ปั่นป่วนในทะเลจีนใต้
แหล่งที่มาจาก : am2con