ท่ามกลางอุณหภูมิความสัมพันธ์ระหว่าง สหรัฐฯ-เวเนซุเอลา ที่ร้อนระอุขึ้นอีกครั้ง การปรากฏตัวอย่างเงียบเชียบของฝูงบินขับไล่ล่องหน (Stealth Fighter) F-35 Lightning II จำนวน 5 ลำของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่ฐานทัพใน เปอร์โตรีโก ได้กลายเป็นข่าวที่สั่นสะเทือนวงการความมั่นคงระหว่างประเทศ การเคลื่อนไหวที่ไม่ได้มีการประกาศล่วงหน้านี้ ถูกมองโดยนักวิเคราะห์ว่าเป็นมากกว่าการซ้อมรบหรือการสับเปลี่ยนกำลังพลตามปกติ แต่มันคือการ “ส่งสาร” เชิงยุทธศาสตร์ที่ทรงพลังและชัดเจนที่สุดจาก เพนตากอน ไปยังกรุงการากัสของประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือการส่งสัญญาณตรงไปยังผู้สนับสนุนหลักของเวเนซุเอลาอย่าง รัสเซีย และจีน
บทความนี้จะวิเคราะห์เชิงลึกถึงเบื้องหลังการตัดสินใจส่งอาวุธที่ล้ำสมัยที่สุดของสหรัฐฯ มายังประตูหลังบ้านของตนเอง ถอดรหัส “สาร” ที่ซ่อนอยู่ในการเคลื่อนไหวครั้งนี้ และสำรวจว่า ความตึงเครียดในทะเลแคริบเบียน กำลังจะกลายเป็นกระดานหมากรุกแห่งใหม่ของมหาอำนาจโลกได้อย่างไร
สหรัฐฯ เวเนซุเอลา การมาถึงที่ไม่ได้ประกาศล่วงหน้า F-35 กับภารกิจในเปอร์โตรีโก
เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาพถ่ายดาวเทียมเชิงพาณิชย์และแหล่งข่าวท้องถิ่นในเปอร์โตรีโก ได้ยืนยันตรงกันถึงการลงจอดของเครื่องบินขับไล่ F-35A จำนวน 5 ลำ ที่ฐานทัพอากาศ Muñiz Air National Guard Base ซึ่งอยู่ติดกับสนามบินนานาชาติหลุยส์ มูนยอซ มาริน
- ใคร กองทัพอากาศสหรัฐฯ (USAF)
- อะไร เครื่องบินขับไล่ F-35A Lightning II จำนวน 5 ลำ
- ที่ไหน ฐานทัพอากาศ Muñiz, เปอร์โตรีโก ดินแดนในภาวะพึ่งพิงของสหรัฐอเมริกา
- เมื่อไหร่ คาดว่าเดินทางมาถึงในช่วง 24-48 ชั่วโมงที่ผ่านมา
- อย่างไร เป็นการบินเดินทางข้ามพื้นที่โดยไม่มีการแจ้งภารกิจต่อสาธารณะล่วงหน้า
โฆษกของกองบัญชาการภาคใต้ของสหรัฐฯ (SOUTHCOM) ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ละตินอเมริกาและแคริบเบียน ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นโดยละเอียด เพียงแต่ระบุว่าเป็น “การเคลื่อนย้ายกำลังพลเพื่อสนับสนุนความมั่นคงและเสถียรภาพในภูมิภาค” แต่ช่วงเวลาของการปรากฏตัวนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ชนวนเหตุความตึงเครียด ข้อพิพาท ‘กายอานา-เอสเซกิโบ’ และบทบาทรัสเซีย
สถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯ กับเวเนซุเอลาเป็นอย่างไร ถึงได้ตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง? คำตอบอยู่ที่ข้อพิพาทเรื่องดินแดนที่คุกรุ่นมานานกว่าศตวรรษระหว่างเวเนซุเอลากับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกายอานา เหนือดินแดน กายอานา-เอสเซกิโบ (Guyana-Essequibo) ซึ่งเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่และอุดมไปด้วยน้ำมันมหาศาล
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลของมาดูโรได้ยกระดับความตึงเครียดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- การซ้อมรบครั้งใหญ่ เวเนซุเอลาได้จัดการซ้อมรบด้วยกระสุนจริงขนาดใหญ่บริเวณชายแดนที่ติดกับเอสเซกิโบ โดยมีการระดมกำลังทหารหลายพันนาย
- การปรากฏตัวของรัสเซีย มีรายงานข่าวกรองที่น่าเชื่อถือว่า ที่ปรึกษาทางทหารของรัสเซียได้เข้าร่วมสังเกตการณ์การซ้อมรบ และให้คำแนะนำในการติดตั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศ S-300VM ที่เวเนซุเอลาเพิ่งได้รับมอบจากรัสเซีย
- วาทะที่แข็งกร้าว มาดูโรได้กล่าวปราศรัยหลายครั้ง ย้ำถึงสิทธิอันชอบธรรมของเวเนซุเอลาเหนือดินแดนเอสเซกิโบ และประณามบริษัทพลังงานของสหรัฐฯ (เช่น ExxonMobil) ที่ดำเนินงานในพื้นที่ดังกล่าวว่าเป็นการ “ปล้นทรัพยากร”
การกระทำเหล่านี้ถูกมองโดยวอชิงตันว่าเป็นการยั่วยุที่อันตรายและอาจนำไปสู่การใช้กำลังทหารเพื่อเปลี่ยนแปลงเขตแดน ซึ่งเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ยอมรับไม่ได้
ทำไมต้อง F-35? ถอดรหัส ‘สาร’ ที่เพนตากอนส่งถึงเวเนซุเอลา
การเลือกส่ง F-35 มายังเปอร์โตรีโกแทนที่จะเป็นเครื่องบินรบรุ่นอื่น เช่น F-16 หรือ F/A-18 คือการเลือก “เครื่องมือ” ที่เหมาะสมที่สุดในการส่ง “สาร” ที่ต้องการ ทำไมสหรัฐฯ ถึงส่ง F-35 ไปเปอร์โตรีโก? คำตอบอยู่ในขีดความสามารถอันเป็นเอกลักษณ์ของมัน
- สารที่ 1 ‘Stealth’ เพื่อต่อต้านระบบป้องกันภัยทางอากาศ
- F-35 สามารถทำอะไรได้บ้าง? จุดเด่นที่สุดคือคุณสมบัติ “ล่องหน” (Stealth) ที่ทำให้มันสามารถบินเข้าสู่เขตป้องกันของศัตรูโดยที่เรดาร์ตรวจจับได้ยากมาก
- นัยยะ การที่เวเนซุเอลามีระบบป้องกันภัยทางอากาศที่ผลิตโดยรัสเซีย (S-300VM) การส่ง F-35 ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อ “ล่า” และทำลายระบบเหล่านี้โดยเฉพาะ คือการประกาศอย่างชัดเจนว่า สหรัฐฯ มีเครื่องมือที่จะทำให้ระบบป้องกันของเวเนซุเอลาไร้ความหมายได้หากจำเป็น
- สารที่ 2 ‘Sensor Fusion’ ศูนย์บัญชาการลอยฟ้า
- F-35 ไม่ใช่แค่เครื่องบินขับไล่ แต่เป็น “คอมพิวเตอร์ประมวลผลข้อมูลที่บินได้” มันสามารถรวบรวมข้อมูลจากเซ็นเซอร์รอบตัว, จากดาวเทียม, จากเครื่องบินลำอื่น และจากภาคพื้นดิน แล้วประมวลผลสร้างภาพสนามรบที่สมบูรณ์แบบให้นักบินและส่งต่อให้กองกำลังฝ่ายเดียวกัน
- นัยยะ การส่ง F-35 มา ไม่ได้หมายถึงแค่เครื่องบิน 5 ลำ แต่หมายถึงการนำเครือข่ายข่าวกรองและการบัญชาการที่ล้ำสมัยที่สุดมาไว้ในภูมิภาคนี้ เป็นการเตือนว่าสหรัฐฯ “เห็นและรู้” ทุกการเคลื่อนไหวของกองทัพเวเนซุเอลา
- สารที่ 3 ‘Deterrence’ การป้องปรามโดยไม่ต้องยิง
- การปรากฏตัวของอาวุธที่ทรงพลังที่สุด คือการป้องปราม (Deterrence) ที่ดีที่สุด มันเป็นการเพิ่ม “ต้นทุน” ของการกระทำที่ก้าวร้าวให้สูงขึ้นสำหรับฝ่ายตรงข้าม
- นัยยะ สหรัฐฯ กำลังบอกมาดูโรว่า “คิดให้ดีก่อนจะทำอะไร” เพราะผลลัพธ์ที่ตามมาอาจรุนแรงกว่าที่คาดคิด
แคริบเบียน กระดานหมากรุกใหม่ของมหาอำนาจ สหรัฐฯ-จีน-รัสเซีย
เหตุการณ์นี้ยังสะท้อนภาพที่ใหญ่กว่า นั่นคือการแข่งขันเชิงอิทธิพลของมหาอำนาจโลกในภูมิภาคที่เคยถูกมองว่าเป็น “สนามหลังบ้าน” ของสหรัฐฯ
- บทบาทของรัสเซีย รัสเซียสนับสนุนเวเนซุเอลาอย่างไร? ผ่านการขายอาวุธ, การให้ที่ปรึกษาทางทหาร, และการสนับสนุนทางการทูตในเวทีโลก เพื่อสร้างความท้าทายให้กับสหรัฐฯ และแสดงตนว่ายังเป็นผู้เล่นระดับโลก
- บทบาทของจีน จีนให้การสนับสนุนเวเนซุเอลาในเชิงเศรษฐกิจเป็นหลัก ผ่านการให้เงินกู้, การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการซื้อน้ำมัน ซึ่งช่วยให้รัฐบาลของมาดูโรยังคงอยู่รอดได้ท่ามกลางมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ
- ผลประโยชน์ของสหรัฐฯ สหรัฐฯ ต้องการรักษาเสถียรภาพ, ป้องกันการขยายอิทธิพลของคู่แข่ง, และปกป้องเส้นทางการค้าและพลังงานที่สำคัญในทะเลแคริบเบียน
บทสรุป เกมวัดใจที่โลกจับตามอง
การส่ง F-35 ไปยังเปอร์โตรีโกไม่ใช่การประกาศสงคราม แต่เป็นการเปิดฉาก “เกมวัดใจ” ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้มข้น สหรัฐอเมริกาได้วางไพ่ใบที่แข็งแกร่งที่สุดลงบนโต๊ะเพื่อส่งสัญญาณป้องปรามที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้ บอลตอนนี้ถูกส่งไปอยู่ในสนามของเวเนซุเอลาและพันธมิตรแล้ว
โลกรวมถึงชาติในละตินอเมริกากำลังจับตามองอย่างใกล้ชิดว่า รัฐบาลของนิโคลัส มาดูโร จะตีความ “สาร” นี้อย่างไร และจะเลือกเส้นทางของการลดความตึงเครียด หรือจะเดินหน้าท้าทายต่อไป ซึ่งอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่มีใครต้องการเห็นในภูมิภาคทะเลแคริบเบียน
แหล่งที่มาจาก : am2con