ท่ามกลางความขัดแย้งที่ยืดเยื้อและวิกฤตมนุษยธรรมที่ทวีความรุนแรงในฉนวนกาซา ฟินแลนด์ได้ก้าวขึ้นมาแสดงบทบาทบนเวทีการทูตระหว่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยการประกาศจุดยืนและร่วมผลักดัน “แนวทางสองรัฐ อิสราเอล-ปาเลสไตน์” อย่างแข็งขัน ท่าทีล่าสุดนี้ไม่ได้เป็นเพียงแถลงการณ์ทางการทูตตามปกติ แต่สะท้อนถึงการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ภูมิรัฐศาสตร์ครั้งใหญ่ของกลุ่มประเทศนอร์ดิกและสหภาพยุโรป ที่ต้องการหาทางออกจากภาวะชะงักงันและสร้างเสถียรภาพที่ยั่งยืนให้แก่ภูมิภาคตะวันออกกลาง ในวันที่สมดุลอำนาจของโลกกำลังถูกท้าทาย
แนวทางสองรัฐ อิสราเอล-ปาเลสไตน์ ทำไมท่าทีของฟินแลนด์จึงมีความสำคัญในตอนนี้?
การออกมาแสดงจุดยืนที่ชัดเจนของฟินแลนด์ในประเด็น ความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ประชาคมโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายมิติ การสู้รบที่ยืดเยื้อในกาซาได้สร้างผลกระทบทางมนุษยธรรมอย่างแสนสาหัส และทำให้เสียงเรียกร้องให้มีการดำเนินการทางการเมืองที่เป็นรูปธรรมเพื่อ การแก้ปัญหาปาเลสไตน์ ดังขึ้นกว่าที่เคย
เอลินา วัลโตเนน (Elina Valtonen) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศฟินแลนด์ ได้กลายเป็นกระบอกเสียงสำคัญในเรื่องนี้ โดยเน้นย้ำในการประชุมระดับสหภาพยุโรปหลายครั้งว่า “สันติภาพที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทั้งชาวอิสราเอลและชาวปาเลสไตน์มีสิทธิ์ในความมั่นคง, การกำหนดอนาคตตนเอง, และรัฐอธิปไตยของตนเอง แนวทางสองรัฐไม่ใช่แค่ทางเลือกหนึ่ง แต่เป็นหนทางเดียวที่เป็นไปได้”
ท่าทีดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่ง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
- การเปลี่ยนผ่านจากความเป็นกลาง ฟินแลนด์ ซึ่งในอดีตยึดถือนโยบายเป็นกลางมาอย่างยาวนาน ได้เปลี่ยนมามีบทบาทเชิงรุกมากขึ้นในเวทีโลกหลังจากการรุกรานยูเครนของรัสเซีย การเข้าร่วม NATO และการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในความขัดแย้งอื่น ๆ เช่น อิสราเอล-ปาเลสไตน์ คือสัญญาณว่าฟินแลนด์พร้อมที่จะเป็นผู้เล่นที่มีบทบาทในการสร้างระเบียบโลกใหม่
- การสร้างแนวร่วมใน EU การเคลื่อนไหวของฟินแลนด์เกิดขึ้นพร้อมกับประเทศในสหภาพยุโรปอื่น ๆ เช่น สเปน, ไอร์แลนด์, และนอร์เวย์ ที่ให้การรับรองรัฐปาเลสไตน์ไปก่อนหน้านี้ สิ่งนี้กำลังสร้างแรงผลักดันภายใน EU ให้มีนโยบายร่วมที่แข็งขันและเป็นเอกภาพมากขึ้นต่อปัญหานี้
- การกดดันทางการทูต การที่ประเทศซึ่งมีภาพลักษณ์ที่ดีและได้รับการยอมรับในด้านการทูตอย่างฟินแลนด์ออกมาแสดงจุดยืน ย่อมเป็นการเพิ่มน้ำหนักและแรงกดดันทางการทูตต่อคู่ขัดแย้งหลัก โดยเฉพาะอิสราเอล ให้กลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาอย่างจริงจัง
เบื้องหลังการขับเคลื่อน ยุทธศาสตร์ EU และแรงกดดันจากนานาชาติ
การตัดสินใจของฟินแลนด์ไม่ใช่การเคลื่อนไหวโดยลำพัง แต่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ที่ใหญ่กว่าของ สหภาพยุโรป (EU) ในการพยายามกอบกู้บทบาทผู้นำทางการทูตในเวทีโลก EU มองว่าภาวะชะงักงันในตะวันออกกลางไม่เพียงแต่สร้างความไร้เสถียรภาพในภูมิภาค แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อยุโรป ทั้งในมิติของผู้อพยพ, ความมั่นคง, และพลังงาน
จากนโยบายต่างประเทศที่ระมัดระวัง สู่การทูตเชิงรุก
นโยบายต่างประเทศฟินแลนด์ กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งประวัติศาสตร์ การตัดสินใจเข้าร่วม NATO ในปี 2023 ถือเป็นการสิ้นสุดยุคของการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดทางทหาร การเปลี่ยนแปลงนี้ได้ปลดล็อกให้ฟินแลนด์สามารถดำเนินนโยบายต่างประเทศที่สอดคล้องกับค่านิยมประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนได้อย่างเต็มที่มากขึ้นโดยไม่ต้องกังวลถึงแรงกดดันจากเพื่อนบ้านมหาอำนาจอย่างรัสเซีย
ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากสถาบันกิจการระหว่างประเทศแห่งฟินแลนด์ (Finnish Institute of International Affairs) ให้ทัศนะว่า “การที่ฟินแลนด์กล้าแสดงบทบาทในปัญหาตะวันออกกลาง คือผลลัพธ์โดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ความมั่นคงในยุโรป เมื่อฟินแลนด์รู้สึกปลอดภัยภายใต้ร่มเงาของ NATO ก็ทำให้มีพื้นที่และความกล้าที่จะแสดงบทบาทในประเด็นอื่น ๆ ที่อยู่นอกเหนือความมั่นคงในภูมิภาคของตนเอง”
การเคลื่อนไหวนี้จึงเป็นการส่งสัญญาณไปยังพันธมิตรตะวันตกว่า ฟินแลนด์ไม่ใช่เพียงผู้รับความช่วยเหลือด้านความมั่นคง แต่พร้อมที่จะเป็นผู้มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาของโลกด้วยเช่นกัน
“แนวทางสองรัฐ” คืออะไร ภาพรวมและความท้าทาย
สำหรับผู้ที่อาจยังไม่คุ้นเคย แนวทางสองรัฐ (Two-State Solution) คือกรอบการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติมากที่สุด โดยมีเป้าหมายหลักคือการสถาปนารัฐปาเลสไตน์ที่เป็นอิสระและมีอธิปไตย ควบคู่ไปกับรัฐอิสราเอล โดยทั้งสองรัฐสามารถดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสันติและปลอดภัย
- องค์ประกอบหลักของแนวทางสองรัฐ
- เขตแดน โดยทั่วไปจะยึดตามเส้นแบ่งเขตแดนก่อนสงครามหกวันปี 1967 (Green Line) โดยอาจมีการแลกเปลี่ยนดินแดนบางส่วนตามที่ตกลงกัน
- สถานะกรุงเยรูซาเลม ประเด็นที่อ่อนไหวที่สุด โดยแนวทางส่วนใหญ่เสนอให้เยรูซาเลมตะวันตกเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล และเยรูซาเลมตะวันออกเป็นเมืองหลวงของปาเลสไตน์
- ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ การหาทางออกที่ยุติธรรมต่อปัญหาผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์และลูกหลานที่พลัดถิ่นตั้งแต่ปี 1948
- ความมั่นคง การจัดวางกลไกความมั่นคงที่รับประกันความปลอดภัยให้กับทั้งสองรัฐ และป้องกันการก่อการร้าย
ความท้าทายที่ยังคงอยู่
แม้จะเป็นแนวทางที่ถูกพูดถึงมากที่สุด แต่การผลักดันให้เกิดขึ้นจริงยังคงเผชิญกับอุปสรรคใหญ่หลวง
- การขยายถิ่นฐานของชาวอิสราเอล การสร้างนิคมในเขตเวสต์แบงก์ยังคงดำเนินต่อไป ทำให้พื้นที่สำหรับรัฐปาเลสไตน์ในอนาคตลดน้อยลงและไม่ต่อเนื่อง
- ความแตกแยกทางการเมืองของปาเลสไตน์ ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มฟาตาห์ที่ควบคุมเขตเวสต์แบงก์ และกลุ่มฮามาสที่ควบคุมฉนวน กาซา
- ท่าทีของรัฐบาลอิสราเอล รัฐบาลผสมฝ่ายขวาของอิสราเอลในปัจจุบันแสดงจุดยืนคัดค้านการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์อย่างชัดเจน
- ความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน ประวัติศาสตร์ความรุนแรงที่ยาวนานได้สร้างบาดแผลและความหวาดระแวงอย่างลึกซึ้งระหว่างทั้งสองฝ่าย
เสียงสะท้อนจากผู้เชี่ยวชาญและผลกระทบในวงกว้าง
นักวิเคราะห์ทางการเมืองมองว่า การที่ฟินแลนด์และประเทศยุโรปอื่น ๆ กลับมาผลักดันแนวทางสองรัฐอย่างจริงจังอีกครั้ง อาจเป็นความพยายาม “ชุบชีวิต” กระบวนการสันติภาพที่ตายไปแล้ว โจเซป บอร์เรลล์ ผู้แทนระดับสูงของสหภาพยุโรปด้านการต่างประเทศและนโยบายความมั่นคง เคยกล่าวไว้ว่า “หากไม่มีแนวทางทางการเมืองที่เป็นรูปธรรม ความรุนแรงก็จะวนกลับมาเป็นวัฏจักรไม่รู้จบ การพูดถึงแนวทางสองรัฐในวันนี้ จึงไม่ใช่แค่การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วน”
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนยังคงมีมุมมองที่ระมัดระวัง ดร. ลีนา คาติบ ผู้อำนวยการสถาบันตะวันออกกลางศึกษาแห่ง SOAS University of London กล่าวเตือนว่า “การสนับสนุนจากยุโรปเป็นสิ่งสำคัญ แต่กุญแจสำคัญยังคงอยู่ที่การสร้างเจตจำนงทางการเมือง (Political Will) ภายในอิสราเอลและปาเลสไตน์เอง หากปราศจากสิ่งนี้ แรงกดดันจากภายนอกเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนได้”
การเคลื่อนไหวของฟินแลนด์และพันธมิตรยุโรปจึงเปรียบเสมือนการโยนหินลงไปในน้ำนิ่ง หวังให้เกิดระลอกคลื่นที่สามารถกระตุ้นให้ผู้เล่นหลัก ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา กลับมามีบทบาทนำในการไกล่เกลี่ยอย่างจริงจังอีกครั้ง
มุมมองจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไทย
แม้ความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์จะอยู่ห่างไกล แต่ผลกระทบสามารถส่งผ่านมาถึงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เช่นกัน ทั้งในมิติของราคาน้ำมัน, ความรู้สึกร่วมของประชากรมุสลิมส่วนใหญ่ในภูมิภาค, และความปลอดภัยของแรงงานไทยในอิสราเอล
ประเทศไทย ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับทั้งสองฝ่าย ได้แสดงจุดยืนสนับสนุนแนวทางสองรัฐผ่านเวที สหประชาชาติ (United Nations) มาโดยตลอด ท่าทีของฟินแลนด์จึงอาจเป็นโอกาสให้กลุ่มประเทศขนาดกลางถึงเล็กที่มีแนวคิดคล้ายกัน สามารถผนึกกำลังและสร้างเสียงที่ดังขึ้นในเวทีโลก เพื่อเรียกร้องให้เกิดสันติภาพที่ถาวรและยุติธรรม
บทสรุป ก้าวต่อไปของฟินแลนด์และอนาคตสันติภาพในตะวันออกกลาง
การที่ฟินแลนด์เข้าร่วมวงผลักดัน แนวทางสองรัฐ อิสราเอล-ปาเลสไตน์ อย่างเต็มตัว ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศของตนเอง และเป็นส่วนหนึ่งของคลื่นลมการเปลี่ยนแปลงในทวีปยุโรปที่ต้องการเห็นทางออกที่เป็นรูปธรรมสำหรับความขัดแย้งที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
แม้หนทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยขวากหนามและความท้าทาย แต่การทูตที่เริ่มต้นจากความตั้งใจจริง ย่อมดีกว่าการปล่อยให้สถานการณ์เลวร้ายลงโดยไม่ทำอะไรเลย การเคลื่อนไหวของฟินแลนด์ในครั้งนี้ คือการตอกย้ำความเชื่อมั่นว่า แม้แต่ประเทศเล็ก ๆ ก็สามารถมีส่วนร่วมในการสร้างสันติภาพและความมั่นคงให้กับโลกได้ หากมีความกล้าหาญที่จะยืนหยัดในหลักการที่ถูกต้อง และนี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ของความหวังครั้งใหม่สำหรับ อนาคตของสันติภาพในตะวันออกกลาง
แหล่งที่มาจาก : am2con