พนมเปญ, กัมพูชา – ความขัดแย้งทางการเมืองที่ยาวนานของกัมพูชาได้ปะทุขึ้นอีกครั้งบนเวทีระหว่างประเทศ เมื่อรัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์ตอบโต้อย่างรุนแรงต่อข้อกล่าวหาของนายสม รังสี ผู้นำฝ่ายค้านที่ลี้ภัยในต่างแดน ซึ่งอ้างว่า สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีและปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภา ได้เข้าถือหุ้นใน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของไทยอย่างลับๆ เหตุการณ์นี้เป็นมากกว่าการเผชิญหน้าระหว่างสองขั้วอำนาจเก่า แต่ได้ยกระดับกลายเป็นกรณีศึกษาของสงครามข้อมูลข่าวสาร ที่ใช้ธุรกรรมทางธุรกิจของประเทศเพื่อนบ้านเป็นเครื่องมือในการโจมตีทางการเมือง เพื่อท้าทายเสถียรภาพของรัฐบาลชุดใหม่ และสร้างแรงกระเพื่อมต่อความสัมพันธ์ในระดับภูมิภาค
แกะรอยต้นตอ ข้อกล่าวหาของ สม รังสี มีเนื้อหาและเป้าหมายอย่างไร?
ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา นายสม รังสี ซึ่งยังคงเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างต่อเนื่องจากที่พำนักในประเทศฝรั่งเศส ได้โพสต์ข้อความผ่านบัญชีโซเชียลมีเดียของตน โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญว่า การที่ บริษัท บางจากฯ เข้าซื้อกิจการของ เอสโซ่ ประเทศไทย (บริษัทในเครือ ExxonMobil) เมื่อไม่นานมานี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่เอื้อประโยชน์ให้ ฮุน เซน และครอบครัวเข้ามามีผลประโยชน์ทับซ้อนผ่านการถือหุ้นโดยไม่เปิดเผย
ข้อกล่าวหาของสม รังสี ล่าสุดมีอะไรบ้าง? สามารถสรุปได้ดังนี้
- อ้างว่ามีการทำข้อตกลงลับที่เอื้อให้กลุ่มทุนที่เชื่อมโยงกับฮุน เซน เข้าไปถือหุ้นในบางจาก
- พยายามเชื่อมโยงธุรกรรมทางธุรกิจปกติเข้ากับการคอร์รัปชันและการฟอกเงิน
- เป้าหมายหลักคือการสร้างความเคลือบแคลงสงสัยต่อความโปร่งใสของตระกูลฮุน ซึ่งยังคงกุมอำนาจทางการเมืองผ่าน พรรคประชาชนกัมพูชา (CPP)
นักวิเคราะห์การเมืองกัมพูชามองว่า การกระทำของนายสม รังสี เป็นความพยายามเชิงกลยุทธ์ที่จะ “สาดโคลน” ไปยังเวทีระหว่างประเทศ โดยมีเป้าหมายหลายประการ
- บั่นทอนความชอบธรรม เพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ฮุน มาเนต ซึ่งเป็นบุตรชายของสมเด็จฯ ฮุน เซน ในสายตาของนักลงทุนต่างชาติและประชาคมโลก
- สร้างความแตกแยก เพื่อสร้างความระหองระแหงระหว่างรัฐบาลกัมพูชาและรัฐบาลไทย ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้น
- ปลุกกระแสต่อต้าน เพื่อกระตุ้นให้ผู้สนับสนุนที่ยังหลงเหลืออยู่ทั้งในและนอกประเทศ กลับมามีกิจกรรมเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลอีกครั้ง
ปฏิบัติการตอบโต้ฉับไว ท่าทีของรัฐบาลกัมพูชาและนัยทางการเมือง
รัฐบาลกัมพูชาไม่ปล่อยให้ข้อกล่าวหานี้ลอยนวลอยู่ได้นาน นายเป็น โบนา โฆษกของรัฐบาล ได้ออกมาแถลงข่าวตอบโต้ทันควัน โดยระบุว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็น “ข่าวปลอม สม รังสี ที่สิ้นคิดและเลื่อนลอย” และเป็น “การใส่ร้ายป้ายสีอย่างไร้ซึ่งมูลความจริงโดยสิ้นเชิง”
ท่าทีของรัฐบาลพนมเปญสะท้อนให้เห็นถึงนัยสำคัญหลายประการ
- การปกป้องภาพลักษณ์ รัฐบาลภายใต้การนำของ ฮุน มาเนต ต้องการแสดงให้เห็นถึงเสถียรภาพและความมั่นคง การปล่อยให้มีข่าวลือด้านการคอร์รัปชันในระดับสูงอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
- การตัดไฟแต่ต้นลม การรีบออกมาปฏิเสธอย่างแข็งกร้าวเป็นการป้องกันไม่ให้ข่าวลือถูกนำไปขยายผลต่อในสื่อต่างประเทศ และเพื่อยืนยันกับรัฐบาลไทยว่าเรื่องดังกล่าวไม่มีมูล
- ตอกย้ำสถานะ “ผู้ร้าย” ของสม รังสี รัฐบาลกัมพูชาใช้โอกาสนี้ในการตอกย้ำภาพลักษณ์ของนายสม รังสี ว่าเป็น “นักการเมืองสิ้นหวัง” ที่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายชาติของตนเองจากต่างแดน
“นี่คือพฤติกรรมเดิมๆ ของนักการเมืองที่ล้มเหลวและเป็นกบฏต่อแผ่นดิน” โฆษกรัฐบาลกล่าว “เขาพยายามทำลายชื่อเสียงของผู้นำเรา และทำลายความสัมพันธ์อันดีกับมิตรประเทศอย่างประเทศไทย แต่จะไม่มีใครเชื่อคำโกหกเหล่านี้”
บางจาก-เอสโซ่ ธุรกรรมธุรกิจไทยที่ถูกดึงเข้าสู่สมรภูมิการเมืองกัมพูชา
ประเด็นที่น่าสนใจสำหรับผู้ติดตามข่าวในประเทศไทยคือ บางจากซื้อเอสโซ่ เกี่ยวข้องกับกัมพูชาอย่างไร? คำตอบคือ “ไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงเลย” การซื้อขายกิจการสถานีบริการน้ำมันและโรงกลั่นของเอสโซ่ในประเทศไทยโดยบางจาก ซึ่งมีมูลค่ากว่า 2.26 หมื่นล้านบาท เป็นธุรกรรมทางธุรกิจที่เกิดขึ้นและเสร็จสิ้นภายในประเทศไทย ตามกฎหมายและกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม นายสม รังสี ได้เลือกที่จะหยิบยกดีลทางธุรกิจขนาดใหญ่นี้ขึ้นมาเป็นเครื่องมือ ด้วยเหตุผลหลายประการ
- เป็นที่รู้จักในระดับสากล การกล่าวถึงบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่อย่าง ExxonMobil และบางจาก ทำให้ข่าวมีความน่าสนใจและถูกหยิบยกไปพูดถึงได้ง่ายกว่า
- สร้างความซับซ้อน การโยงเรื่องเข้ากับธุรกรรมทางการเงินที่ซับซ้อน ทำให้ยากต่อการตรวจสอบข้อเท็จจริงในทันที และเปิดช่องให้ทฤษฎีสมคบคิดเติบโตได้
- กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การดึงบริษัทไทยเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นการสร้างแรงกดดันทางการทูตโดยหวังว่าอาจทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างสองรัฐบาลได้
ทางด้าน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แม้จะยังไม่มีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการในเรื่องนี้ แต่แหล่งข่าวภายในบริษัทชี้แจงว่า บางจากเป็นบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่โปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ และไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการเมืองภายในของกัมพูชา
บทวิเคราะห์ เมื่อ “ข่าวปลอม” กลายเป็นเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์
เหตุการณ์ สม รังสี vs รัฐบาลกัมพูชา ครั้งนี้ ตอกย้ำเทรนด์ของโลกปัจจุบันที่ “ข้อมูลข่าวสาร” ได้กลายเป็นอาวุธสำคัญในการต่อสู้ทางภูมิรัฐศาสตร์ การปล่อย ข่าวปลอม หรือข้อมูลบิดเบือนไม่ได้มุ่งหวังแค่ให้คนเชื่อ แต่มีเป้าหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น คือ “การเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัย” (To sow doubt)
ในบริบทของ การเมืองกัมพูชา ยุทธศาสตร์นี้ถูกใช้เพื่อ
- สั่นคลอนเสถียรภาพภายใน สร้างความไม่ไว้วางใจระหว่างประชาชนกับรัฐบาล
- โดดเดี่ยวในเวทีโลก ทำให้รัฐบาลต่างชาติและองค์กรระหว่างประเทศลังเลที่จะให้ความร่วมมือหรือลงทุน
- ยืดอายุความขัดแย้ง ทำให้นายสม รังสี ซึ่งไม่มีบทบาทในสภา ยังคงอยู่ในพื้นที่สื่อและรักษาความเกี่ยวข้อง (relevancy) ทางการเมืองของตนเองเอาไว้ได้
สถานการณ์การเมืองในกัมพูชาปัจจุบันเป็นอย่างไร? แม้จะมีการเปลี่ยนผ่านอำนาจไปยังคนรุ่นใหม่อย่างราบรื่น แต่รัฐบาลของ ฮุน มาเนต ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายในการสร้างความชอบธรรมในสายตาชาวโลก และการรับมือกับการโจมตีจากฝ่ายค้านนอกประเทศก็ถือเป็นหนึ่งในบททดสอบที่สำคัญที่สุด
บทสรุปและแนวโน้มในอนาคต ความท้าทายที่รออยู่
การปะทะคารมล่าสุดระหว่างรัฐบาลกัมพูชาและนายสม รังสี กรณีหุ้นบางจาก เป็นมากกว่าเรื่องอื้อฉาวทางการเมือง แต่เป็นภาพสะท้อนของการต่อสู้ในยุคดิจิทัล ที่เส้นแบ่งระหว่างการเมืองภายในประเทศ ธุรกิจข้ามชาติ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้นเลือนลางลงทุกที
สำหรับรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต นี่คือบทพิสูจน์ถึงความสามารถในการจัดการกับวิกฤตข่าวสารและรักษาความเชื่อมั่นจากนานาชาติ สำหรับประเทศไทยและบริษัทบางจาก เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องเตือนใจว่า ธุรกรรมทางธุรกิจที่โปร่งใสก็สามารถถูกลากเข้าไปเป็นเครื่องมือในความขัดแย้งทางการเมืองของประเทศอื่นได้อย่างไม่คาดคิด
คาดการณ์ได้ว่า ตราบใดที่นายสม รังสี ยังคงเคลื่อนไหวทางการเมืองจากนอกประเทศ สงครามข้อมูลข่าวสารเช่นนี้จะยังคงเกิดขึ้นต่อไปในรูปแบบต่างๆ และจะกลายเป็นหนึ่งในความท้าทายหลักที่รัฐบาลพนมเปญต้องเผชิญในการบริหารประเทศและดำเนินนโยบายต่างประเทศในอีกหลายปีข้างหน้า
แหล่งที่มาจาก : am2con