อินเดียซื้อ S-400 การเจรจาระหว่างอินเดียและรัสเซียเพื่อจัดหาระบบขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศ S-400 เพิ่มเติม ไม่ใช่เป็นเพียงข่าวการซื้อขายอาวุธมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ แต่มันคือการประกาศจุดยืนที่แข็งกร้าวที่สุดครั้งหนึ่งของอินเดียบนเวทีโลกภายใต้นโยบาย “เอกราชทางยุทธศาสตร์” (Strategic Autonomy) การเคลื่อนไหวครั้งนี้เปรียบเสมือนการเดินบนเส้นลวดที่ตึงเครียดของกรุงนิวเดลี ที่ต้องสร้างสมดุลระหว่างพันธมิตรด้านความมั่นคงดั้งเดิมอย่างรัสเซีย กับหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ใหม่อย่างสหรัฐอเมริกา และยังเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า ในสมรภูมิภูมิรัฐศาสตร์แห่งศตวรรษที่ 21 อินเดียพร้อมที่จะกำหนดเส้นทางความมั่นคงของตนเอง แม้จะต้องเสี่ยงต่อแรงกดดันและมาตรการคว่ำบาตรจากมหาอำนาจก็ตาม
อินเดียซื้อ S-400 Triumf ‘เกมเชนเจอร์’ ที่อินเดียปฏิเสธไม่ได้
เหตุผลเบื้องหลังการที่อินเดียยอมเสี่ยงกับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ เพื่อให้ได้มาซึ่ง S-400 นั้น มีรากฐานมาจากความจำเป็นทางยุทธศาสตร์ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ กระทรวงกลาโหมอินเดียเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า “ภัยคุกคามสองแนวรบ” (Two-front threat) มาอย่างยาวนาน นั่นคือแนวพรมแดนเทือกเขาหิมาลัยที่ยังคงมีข้อพิพาทกับจีน และพรมแดนทางตะวันตกที่เผชิญหน้ากับปากีสถาน ซึ่งทั้งสองประเทศมีความร่วมมือทางทหารที่ใกล้ชิด
ในบริบทนี้ S-400 รัสเซีย ถูกมองว่าเป็น “เกมเชนเจอร์” ที่จะเข้ามาตอบโจทย์ความมั่นคงของอินเดียได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยขีดความสามารถที่โดดเด่น
- ระยะทำการไกล สามารถสกัดกั้นเป้าหมายได้ไกลถึง 400 กิโลเมตร และครอบคลุมเพดานบินที่หลากหลาย
- ความยืดหยุ่นสูง ระบบเรดาร์และขีปนาวุธหลายชนิดในระบบเดียว ทำให้สามารถรับมือกับภัยคุกคามได้พร้อมกันหลายรูปแบบ ตั้งแต่เครื่องบินขับไล่ล่องหน (Stealth), เครื่องบินทิ้งระเบิด, โดรน, ไปจนถึงขีปนาวุธร่อนและขีปนาวุธทิ้งตัว
- เครือข่ายป้องกันภัยทางอากาศ (A2/AD) การมี S-400 ประจำการ จะสร้างพื้นที่ “ต่อต้านการเข้าถึง/ปฏิเสธการเข้าพื้นที่” (Anti-Access/Area Denial) ทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องคิดหนักก่อนจะส่งอากาศยานล่วงล้ำเข้ามาในน่านฟ้าอินเดีย
ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารหลายคนมองว่า ไม่มีระบบป้องกันภัยทางอากาศใดในตลาดโลกที่ให้ความสามารถที่ครอบคลุมและคุ้มค่าได้เท่ากับ S-400 ซึ่งตอบคำถามสำคัญที่ว่า ทำไมอินเดียถึงเลือก S-400 แม้จะต้องเผชิญกับแรงกดดันทางการเมืองมหาศาล
CAATSA ดาบสองคมที่สหรัฐฯ ลังเลจะใช้กับอินเดีย
แรงกดดันที่ใหญ่ที่สุดมาจากกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ผ่านกฎหมายที่ชื่อว่า Countering America’s Adversaries Through Sanctions Act (CAATSA) ซึ่งผ่านสภาคองเกรสในปี 2017 เพื่อลงโทษประเทศที่ทำธุรกรรมสำคัญด้านการทหารกับรัสเซีย, อิหร่าน และเกาหลีเหนือ สหรัฐฯ เคยใช้กฎหมายนี้ลงโทษตุรกี ซึ่งเป็นพันธมิตรใน NATO มาแล้ว จากการซื้อ S-400 เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม กรณีของอินเดียนั้นแตกต่างและซับซ้อนกว่ามาก การตัดสินใจว่าจะ คว่ำบาตรอินเดียหรือไม่ กลายเป็นโจทย์ที่น่าปวดหัวสำหรับรัฐบาลสหรัฐฯ ด้วยเหตุผลดังนี้
- พันธมิตรหลักในอินโด-แปซิฟิก อินเดียคือหัวใจสำคัญของยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ และเป็นสมาชิกของกลุ่ม Quad (ร่วมกับสหรัฐฯ, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย) ซึ่งมีเป้าหมายหลักเพื่อคานอำนาจที่เพิ่มขึ้นของจีน การคว่ำบาตรอินเดียจะบ่อนทำลายความร่วมมือนี้อย่างรุนแรง
- ตลาดอาวุธขนาดใหญ่ อินเดียเป็นหนึ่งในผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลก และสหรัฐฯ เองก็กลายเป็นผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่ให้อินเดียในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การคว่ำบาตรจะส่งผลกระทบต่อบริษัทสัญชาติอเมริกันโดยตรง
- ผลักอินเดียไปหาคู่แข่ง การลงโทษอินเดีย มีแต่จะผลักดันให้อินเดียหันไปกระชับความสัมพันธ์กับรัสเซียและกลุ่มอำนาจอื่น ๆ มากขึ้น ซึ่งสวนทางกับเป้าหมายระยะยาวของสหรัฐฯ
สมดุลแห่งอำนาจ การทูต ‘หลายขั้ว’ ของอินเดีย
หัวใจของเรื่องราวทั้งหมดนี้ คือปรัชญาการต่างประเทศของอินเดียยุคใหม่ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ที่เน้นย้ำเรื่อง “เอกราชทางยุทธศาสตร์” หรือที่นักวิชาการบางคนเรียกว่า “การทูตหลายขั้ว” (Multi-alignment) อินเดียปฏิเสธแนวคิดการเลือกข้างแบบตายตัวในยุคสงครามเย็น แต่เลือกที่จะสร้างความสัมพันธ์กับทุกขั้วอำนาจตามผลประโยชน์แห่งชาติ
- กับรัสเซีย คือความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ที่หยั่งรากลึกด้านการทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ของอินเดียกว่า 60% ยังคงมีต้นกำเนิดจากรัสเซียหรือสหภาพโซเวียต
- กับสหรัฐฯ คือหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์แห่งอนาคต มีความร่วมมือที่เติบโตอย่างรวดเร็วทั้งด้านการค้า, เทคโนโลยี และความมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีผลประโยชน์ร่วมกันในการสร้างเสถียรภาพใน อินโด-แปซิฟิก
การเดินหน้าดีล S-400 จึงเป็นการส่งสารที่ทรงพลังว่า แม้ ความสัมพันธ์อินเดีย-สหรัฐ จะสำคัญเพียงใด ก็จะไม่สามารถมาบงการการตัดสินใจด้าน ความมั่นคงอินเดีย ซึ่งเป็นอธิปไตยของชาติได้
บทสรุป เดิมพันบนกระดานหมากรุกโลก
การเจรจาซื้อ S-400 เพิ่มเติมของอินเดีย ไม่ใช่แค่การอัปเกรดคลังแสง แต่เป็นการวางเดิมพันครั้งสำคัญบนกระดานหมากรุกภูมิรัฐศาสตร์โลก มันคือการยืนยันว่าอินเดียได้เติบโตขึ้นเป็นมหาอำนาจที่มีความมั่นใจและพร้อมที่จะกำหนดชะตากรรมของตนเอง
อนาคตของข้อตกลงนี้และปฏิกิริยาของสหรัฐฯ จะเป็นตัวชี้วัดทิศทางของดุลอำนาจในเอเชียไปอีกหลายปีข้างหน้า ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ อินเดียได้เลือกเส้นทางของตัวเองแล้ว เส้นทางที่มุ่งไปสู่การเป็นขั้วอำนาจที่เป็นอิสระอย่างแท้จริงในระเบียบโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป
แหล่งที่มาจาก : am2con