วันที่ 1 กันยายน 2568 – ท่ามกลางการจับตามองของเวทีการเมืองโลก นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต แห่งกัมพูชา ได้เข้าพบหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ก่อนการเข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO Summit) อย่างเป็นทางการ การพบปะครั้งนี้ไม่ใช่แค่ภาพการทูตที่สวยงาม แต่เป็นหมุดหมายสำคัญที่ตอกย้ำทิศทางนโยบายต่างประเทศกัมพูชายุคใหม่ และส่งแรงกระเพื่อมโดยตรงมายังเสถียรภาพและสมดุลอำนาจในภูมิภาคอาเซียน บทความนี้จะวิเคราะห์เชิงลึกถึงการหารือระหว่าง ฮุน มาเนต สี จิ้นผิง ว่าพวกเขากำลังส่งสัญญาณอะไร, เมกะโปรเจกต์อย่าง คลองฝูนันเตโช จะเปลี่ยนเกมภูมิรัฐศาสตร์อย่างไร และที่สำคัญที่สุดคือ ประเทศไทยควรเตรียมรับมือกับฉากทัศน์ใหม่นี้อย่างไร
การพบปะกันระหว่างนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต และประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ณ กรุงอัสตานา ประเทศคาซัคสถาน ก่อนการ ประชุม SCO Summit ได้กลายเป็นข่าวเด่นที่นักวิเคราะห์ทั่วโลกให้ความสนใจ การหารือครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นการยืนยันสถานะ “มิตรภาพเหล็กไหล” (Ironclad Friendship) ของ ความสัมพันธ์กัมพูชา-จีน ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นภายใต้การนำของผู้นำกัมพูชารุ่นใหม่ โดยมีวาระซ่อนเร้นที่น่าจับตา ทั้งการผลักดันโครงการ คลองฝูนันเตโช ที่มีนัยสำคัญต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจของภูมิภาค รวมถึงการขยับบทบาทของกัมพูชาเข้าใกล้กลุ่มอำนาจที่นำโดยจีนมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้คือความท้าทายใหม่ที่ประเทศไทยและอาเซียนไม่อาจมองข้าม
วาระบนโต๊ะหารือ ตอกย้ำมรดกและวางรากฐานอนาคต
การสนทนาระหว่างสองผู้นำครั้งนี้ครอบคลุมหลากหลายมิติ โดยแก่นกลางคือการสานต่อความสัมพันธ์ที่ถูกวางรากฐานไว้อย่างแข็งแกร่งตั้งแต่สมัยอดีตนายกฯ ฮุน เซน และการยกระดับความร่วมมือในยุคของฮุน มาเนต
ประเด็นสำคัญที่คาดว่าถูกหยิบยกขึ้นมาหารือ
- เศรษฐกิจและการลงทุน จีนคือผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดในกัมพูชา การหารือย่อมหนีไม่พ้นการเร่งรัดโครงการภายใต้กรอบ หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative – BRI) ซึ่งรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น ท่าเรือน้ำลึก, สนามบิน และทางด่วน เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจกัมพูชาเข้ากับจีนอย่างสมบูรณ์
- การทหารและความมั่นคง ความร่วมมือทางทหารระหว่างสองประเทศเป็นที่จับตามาโดยตลอด โดยเฉพาะการพัฒนาฐานทัพเรือเรียม (Ream Naval Base) ซึ่งฝ่ายตะวันตกกังวลว่าอาจกลายเป็นฐานที่มั่นของกองทัพจีนในอ่าวไทย
- การเมืองและการทูต จีนให้การสนับสนุนรัฐบาลของฮุน มาเนตอย่างเต็มที่ แลกกับการที่กัมพูชาจะเป็นเสียงสนับสนุนจีนในเวทีอาเซียน โดยเฉพาะในประเด็นทะเลจีนใต้ ซึ่งมักเป็นจุดที่ทำให้เสียงของอาเซียนแตก
คำถามสำคัญที่นักวิเคราะห์ตั้งขึ้นคือ ฮุน มาเนต พบ สี จิ้นผิง คุยเรื่องอะไร กันแน่ในเชิงลึก? คำตอบที่ชัดเจนที่สุดปรากฏผ่านเมกะโปรเจกต์ที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง นั่นคือ “คลองฝูนันเตโช”
“คลองฝูนันเตโช” เมกะโปรเจกต์เปลี่ยนสมการแม่น้ำโขงและอ่าวไทย
โครงการคลองฝูนันเตโช คือโครงการขุดคลองเชื่อมต่อแม่น้ำโขงจากกรุงพนมเปญออกสู่อ่าวไทยโดยตรง มีความยาว 180 กิโลเมตร ด้วยเงินลงทุนมหาศาลกว่า 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนและเทคโนโลยีจากจีน โครงการนี้ถูกนำเสนอในฐานะเส้นทางขนส่งภายในประเทศที่จะปฏิวัติเศรษฐกิจของกัมพูชา แต่สำหรับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและไทย มันคือความท้าทายที่ซับซ้อน
นัยสำคัญของคลองฝูนันเตโช
- ด้านเศรษฐกิจ
- สำหรับกัมพูชา คลองนี้จะช่วยลดการพึ่งพาท่าเรือของเวียดนามในการขนส่งสินค้า ทำให้กัมพูชามีอิสระทางเศรษฐกิจและโลจิสติกส์มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- สำหรับไทยและเวียดนาม ผลกระทบคลองฝูนันเตโชต่อไทย และเวียดนาม คือความกังวลเรื่องปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงตอนล่าง ซึ่งอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเกษตรและการประมงในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงของเวียดนาม และอาจเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศของแม่น้ำโขงโดยรวม
- ด้านภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคง
- ข้อกังวลหลัก คลองนี้มีความลึกเพียงพอที่จะให้เรือรบขนาดเล็กถึงขนาดกลางแล่นผ่านได้ ก่อให้เกิดคำถามว่านี่อาจเป็นเส้นทางลัดให้กองทัพเรือจีนสามารถเข้าถึงอ่าวไทยและพื้นที่ใกล้เคียงได้โดยง่ายหรือไม่ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงดุลยภาพทางทหารในภูมิภาคอย่างสิ้นเชิง
- ท่าทีของกัมพูชา รัฐบาลกัมพูชายืนกรานปฏิเสธข้อกังวลดังกล่าว โดยระบุว่าเป็นโครงการเพื่อการพาณิชย์เท่านั้นและจะไม่กระทบต่อปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงสายหลัก
การผลักดันโครงการนี้อย่างเต็มกำลังในการหารือระหว่าง ฮุน มาเนต และ สี จิ้นผิง สะท้อนให้เห็นว่า ความสัมพันธ์กัมพูชา-จีน ได้พัฒนาไปสู่ระดับ “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” ที่ผลประโยชน์ของชาติผูกโยงกันอย่างแยกไม่ออก
กัมพูชากับเวที SCO ก้าวใหม่สู่ระเบียบโลกขั้วตรงข้าม
การปรากฏตัวของฮุน มาเนต ใน ประชุม SCO Summit ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ซึ่งนำโดยจีนและรัสเซีย ถูกมองว่าเป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นเพื่อคานอำนาจของกลุ่มตะวันตกที่นำโดยสหรัฐอเมริกา
กัมพูชาเข้าร่วม SCO มีนัยอย่างไร?
- สถานะปัจจุบัน กัมพูชาดำรงสถานะเป็น “คู่เจรจา” (Dialogue Partner) ของ SCO มาตั้งแต่ปี 2015
- เป้าหมายในอนาคต การเข้าร่วมประชุมระดับสุดยอดผู้นำครั้งนี้ เป็นการส่งสัญญาณว่ากัมพูชาต้องการมีบทบาทที่มากขึ้น และอาจกำลังปูทางไปสู่การเป็นสมาชิdกเต็มตัวในอนาคต
- การเลือกข้างที่ชัดเจน การขยับเข้าใกล้ SCO คือการประกาศจุดยืนทางการทูตที่ชัดเจนว่า กัมพูชาภายใต้การนำของฮุน มาเนต เลือกที่จะอยู่ภายใต้ร่มเงาของมหาอำนาจตะวันออก ซึ่งแตกต่างจากประเทศอาเซียนส่วนใหญ่ที่พยายามรักษาสมดุลระหว่างขั้วอำนาจต่างๆ
ข่าวฮุน มาเนต ล่าสุด ที่เกี่ยวข้องกับการประชุมครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่ข่าวกิจกรรมของผู้นำ แต่เป็นข่าวที่บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ในนโยบายต่างประเทศของเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดไทยที่สุด
นัยต่ออาเซียนและไทย เมื่อ “มิตรภาพเหล็กไหล” ท้าทายเอกภาพ
การกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชาและจีนอย่างเปิดเผยและลึกซึ้ง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลไกการทำงานและเอกภาพของอาเซียน
- ความท้าทายต่อฉันทามติอาเซียน อาเซียนตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ด้วยหลักฉันทามติ (Consensus) การที่กัมพูชามีแนวโน้มที่จะดำเนินนโยบายตามจีนอย่างชัดเจน อาจทำให้การหาจุดยืนร่วมกันในประเด็นที่อ่อนไหว เช่น กรณีพิพาททะเลจีนใต้ เป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น
- สมดุลอำนาจที่เปลี่ยนไปในแผ่นดินใหญ่ การเกิดขึ้นของคลองฝูนันเตโช และความเป็นไปได้ที่จะมีฐานทัพจีนในอ่าวไทย จะทำให้สมการความมั่นคงในภูมิภาคเปลี่ยนแปลงไป ประเทศไทยซึ่งมีพรมแดนติดกับกัมพูชาและมีผลประโยชน์ในอ่าวไทย จะต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมทางยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อนและท้าทายกว่าเดิม
- การแข่งขันทางเศรษฐกิจ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของกัมพูชาด้วยการสนับสนุนจากจีน จะทำให้กัมพูชากลายเป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจที่น่ากลัวยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในด้านโลจิสติกส์และฐานการผลิต
บทสรุป อ่านสัญญาณจากพนมเปญและปักกิ่ง เพื่อกำหนดทิศทางของกรุงเทพฯ
การพบปะหารือระหว่าง ฮุน มาเนต สี จิ้นผิง ไม่ใช่เหตุการณ์ বিচ্ছিন্ন แต่เป็นภาพต่อเนื่องของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในภูมิรัฐศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มันคือการประกาศทิศทางที่ชัดเจนของ นโยบายต่างประเทศกัมพูชายุคใหม่ ที่เลือกเดินเคียงข้างจีนอย่างเต็มตัว
สำหรับประเทศไทย นี่คือสัญญาณเตือนที่ดังและชัดเจน เราไม่สามารถมองความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้านกับมหาอำนาจเป็นเรื่องไกลตัวได้อีกต่อไป แต่ต้องวิเคราะห์อย่างรอบด้านและเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ทั้งในมิติของความมั่นคง เศรษฐกิจ และการทูตในเวทีอาเซียน การประชุม ณ กรุงอัสตานาครั้งนี้อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของบทใหม่แห่งสมดุลอำนาจ ซึ่งประเทศไทยต้องอ่านเกมให้ออกและวางตำแหน่งของตัวเองอย่างชาญฉลาดที่สุด
แหล่งที่มาจาก : am2con