ปาปัวเดือด! ประท้วงกฎหมายใหม่บานปลายเป็นจลาจล ดับ 3 ศพ-ไทยจับตาสถานการณ์ใกล้ชิด

ประท้วงอินโดนีเซีย

จาการ์ตา, อินโดนีเซีย – ประท้วงอินโดนีเซีย สถานการณ์ในจังหวัดปาปัวตะวันตกทวีความตึงเครียดถึงขีดสุด หลังการชุมนุมประท้วงต่อต้านกฎหมายปกครองตนเองฉบับใหม่ได้บานปลายกลายเป็นเหตุจลาจลรุนแรงในเมืองมาโนกวารี เมืองหลวงของจังหวัด ส่งผลให้เกิดเหตุเพลิงไหม้อาคารราชการ และที่น่าสลดใจคือมีรายงานผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 3 ราย และบาดเจ็บอีกหลายสิบคน เหตุการณ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงการปะทะเฉพาะหน้า แต่เป็นภาพสะท้อนของรอยร้าวลึกทางประวัติศาสตร์และชาติพันธุ์ที่ถูกจุดชนวนขึ้นอีกครั้ง กำลังกลายเป็นบททดสอบครั้งสำคัญต่อเสถียรภาพของรัฐบาลประธานาธิบดี โจโก วิโดโด และสร้างความกังวลต่อความปลอดภัยของพลเรือนและชาวต่างชาติในพื้นที่ ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงจาการ์ตา ได้ออกประกาศเตือนคนไทยให้เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

Three killed in fire at Indonesian government building blamed on protesters

ประท้วงอินโดนีเซีย ลำดับเหตุการณ์ จากการชุมนุมสู่โศกนาฏกรรมกลางเมืองมาโนกวารี

ความไม่สงบระลอกล่าสุดปะทุขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองมาโนกวารี (Manokwari) หลังจากที่กลุ่มนักศึกษาและประชาชนชาวปาปัวหลายพันคนได้ออกมารวมตัวกันเพื่อแสดงจุดยืนคัดค้าน “กฎหมายปกครองตนเองพิเศษฉบับแก้ไข” ที่รัฐสภากลางในกรุงจาการ์ตาเพิ่งอนุมัติไป

ไทม์ไลน์ความรุนแรง

  • ช่วงเช้าวันที่ 29 สิงหาคม กลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มเดินขบวนไปยังอาคารสภาประชาชนปาปัวตะวันตก (West Papua People’s Assembly) พร้อมชูป้ายและปราศรัยโจมตีรัฐบาลกลาง
  • ช่วงบ่าย สถานการณ์เริ่มตึงเครียดขึ้นเมื่อผู้ชุมนุมบางส่วนพยายามบุกเข้าไปในอาคาร ก่อนจะเกิดการปะทะกับแนวกั้นของ ตำรวจอินโดนีเซีย
  • ช่วงเย็น เหตุการณ์บานปลายอย่างควบคุมไม่ได้ มีกลุ่มควันดำพวยพุ่งขึ้นจากตัวอาคารสภาฯ ซึ่งต่อมาได้รับการยืนยันว่าเกิดเพลิงไหม้รุนแรง ความโกลาหลนำไปสู่การปะทะกันอย่างดุเดือดระหว่างผู้ประท้วงและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง
  • ช่วงค่ำ โฆษกตำรวจแห่งชาติอินโดนีเซียแถลงการณ์ยืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิตเบื้องต้น 3 ราย ซึ่งเสียชีวิตในที่เกิดเหตุระหว่างความชุลมุน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 5 รายถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ขณะที่เจ้าหน้าที่ได้เข้าควบคุมสถานการณ์และประกาศเคอร์ฟิวในพื้นที่เสี่ยง

สถานการณ์อินโดนีเซียล่าสุด ในปาปัวตะวันตกยังคงตึงเครียด มีการเสริมกำลังทหารและตำรวจเข้าไปในพื้นที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่

“กฎหมายปกครองตนเองพิเศษ” ชนวนเหตุแห่งความขัดแย้งรอบใหม่

สาเหตุการ ประท้วงอินโดนีเซีย คืออะไร? คำตอบของคำถามนี้หยั่งรากลึกกว่าแค่ความโกรธชั่ววูบ แต่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ “กฎหมายปกครองตนเองพิเศษ” (Special Autonomy Law) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Otsus”

กฎหมาย Otsus ฉบับแรกบังคับใช้ในปี 2001 โดยเป็นความพยายามของรัฐบาลจาการ์ตาที่จะลดกระแสเรียกร้องเอกราชของชาวปาปัว ด้วยการมอบอำนาจปกครองตนเองมากขึ้นและจัดสรรงบประมาณจำนวนมหาศาลให้แก่ภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ชาวปาปัวจำนวนมากรู้สึกว่ากฎหมายดังกล่าวล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาพื้นฐาน ทั้งการละเมิด สิทธิมนุษยชน โดยกองกำลังความมั่นคง, ปัญหาความยากจน และการที่ทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ของพวกเขาถูกสูบไปโดยไม่ได้รับการแบ่งปันอย่างเป็นธรรม

ล่าสุด รัฐบาลกลางได้ผ่านกฎหมาย Otsus ฉบับแก้ไข ซึ่งจะขยายระยะเวลาการให้เงินทุนสนับสนุนต่อไป แต่ในขณะเดียวกันก็ให้อำนาจแก่จาการ์ตาในการจัดตั้งจังหวัดใหม่ๆ ในภูมิภาคปาปัวได้โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาท้องถิ่น ซึ่งผู้ประท้วงมองว่า

  • เป็นการ “แบ่งแยกและปกครอง” เพื่อทำลายเอกภาพของชาวปาปัว และทำให้ง่ายต่อการควบคุมจากส่วนกลาง
  • เพิกเฉยต่อเสียงประชาชน กระบวนการร่างกฎหมายฉบับใหม่ขาดการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงจากชาวปาปัว
  • เลี่ยงการพูดถึงประเด็นหลัก ไม่มีการพูดถึงการแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือการจัดประชามติเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชตามที่ กลุ่มแบ่งแยกดินแดน เรียกร้องมาโดยตลอด

Indonesia: 3 dead as protesters set fire to regional parliament building |  Khaleej Times

เสียงสะท้อนจากปาปัว ประวัติศาสตร์บาดแผลและข้อเรียกร้องที่ยังไม่ถูกรับฟัง

เพื่อที่จะเข้าใจความโกรธแค้นที่ปะทุขึ้นในครั้งนี้ เราจำเป็นต้องมองย้อนกลับไปที่ ประวัติศาสตร์ความขัดแย้งในปาปัว ภูมิภาคปาปัวตะวันตก ซึ่งเคยเป็นอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ ถูกผนวกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอินโดนีเซียในปี 1969 ผ่านการลงประชามติที่ถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าไม่โปร่งใสและอยู่ภายใต้การข่มขู่ของกองทัพ

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ขบวนการเรียกร้องเอกราช (Free Papua Movement – OPM) ได้ต่อสู้กับรัฐบาลอินโดนีเซียมาอย่างยาวนาน ส่งผลให้เกิดความรุนแรงและการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยกองกำลังความมั่นคงของอินโดนีเซีย (TNI) มานับครั้งไม่ถ้วน ชาวปาปัวรู้สึกว่าพวกเขาถูกปฏิบัติเหมือนเป็นพลเมืองชั้นสองในแผ่นดินของตนเอง และถูกทำให้กลายเป็นคนส่วนน้อยจากการหลั่งไหลเข้ามาของประชากรจากเกาะชวาและส่วนอื่นๆ ของอินโดนีเซีย

เบนนี เวนดา (Benny Wenda) ผู้นำขบวนการปลดปล่อยปาปัวตะวันตก (ULMWP) ซึ่งลี้ภัยในต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ประณามความรุนแรงครั้งนี้ว่า “นี่คือผลลัพธ์ที่คาดเดาได้ เมื่อจาการ์ตาพยายามยัดเยียดเจตจำนงของตนเองลงบนชาวปาปัวโดยไม่รับฟังเสียงของพวกเรา สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่กฎหมายจอมปลอม แต่คือสิทธิในการกำหนดอนาคตของตนเอง”

ท่าทีรัฐบาลโจโก วิโดโด และการตอบโต้ของฝ่ายความมั่นคง

รัฐบาลอินโดนีเซียตอบสนองอย่างไร ต่อวิกฤตครั้งนี้? ประธานาธิบดี โจโก วิโดโด ได้ออกมาแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเรียกร้องให้ทุกฝ่ายอยู่ในความสงบ “ผมขอเรียกร้องให้พี่น้องประชาชนในปาปัวตะวันตกและทุกฝ่ายอดทนอดกลั้น อย่ากระทำการใดๆ ที่จะทำลายความสงบสุขและทรัพย์สินส่วนรวม” เขากล่าวผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ

อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ รัฐบาลได้อนุมัติให้มีการส่งกำลังทหารและตำรวจหน่วยเคลื่อนที่เร็ว (Brimob) เพิ่มเติมเข้าไปในพื้นที่ โดยให้เหตุผลว่าเพื่อ “ฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยและบังคับใช้กฎหมาย” การกระทำดังกล่าวถูกมองจากนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนว่าเป็นการราดน้ำมันเข้ากองไฟ และอาจนำไปสู่การปราบปรามที่รุนแรงยิ่งขึ้น

ผลกระทบต่อคนไทยและคำเตือนจากสถานทูตฯ

ท่ามกลาง เหตุจลาจลอินโดนีเซีย ที่เกิดขึ้น สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงจาการ์ตา ได้ออกประกาศเตือนพลเมืองไทยที่พำนักอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดปาปัวตะวันตกและจังหวัดใกล้เคียง ให้เพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ

คำแนะนำสำหรับคนไทย

  • หลีกเลี่ยงพื้นที่ชุมนุม งดเดินทางเข้าใกล้หรืออยู่ในบริเวณที่มีการประท้วงหรือมีคนรวมตัวกันเป็นจำนวนมาก
  • ติดตามข่าวสาร เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์จากประกาศของทางการท้องถิ่นและสื่อที่น่าเชื่อถืออย่างสม่ำเสมอ
  • เตรียมพร้อมเสมอ สำรองอาหารและน้ำดื่มในกรณีฉุกเฉิน และเตรียมเอกสารสำคัญให้พร้อมอยู่เสมอ
  • ติดต่อสถานทูตฯ หากตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือไม่ปลอดภัย สามารถติดต่อสายด่วนของสถานทูตฯ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สำหรับคำถามที่ว่า คนไทยในอินโดนีเซียปลอดภัยหรือไม่ ขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่ามีคนไทยได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ยังคงมีความเปราะบางและสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว

Three dead as Indonesian protesters set fire to regional parliament  building | CNN

บทสรุป ปาปัวบนทางแยกแห่งความรุนแรงหรือสันติภาพ

เหตุการณ์นองเลือดในมาโนกวารีเป็นเครื่องตอกย้ำว่าบาดแผลทางประวัติศาสตร์ในปาปัวยังคงเป็นหนองและพร้อมที่จะปริแตกได้ทุกเมื่อ กฎหมายปกครองตนเองฉบับใหม่ที่ควรจะเป็นสะพานเชื่อม กลับกลายเป็นกำแพงที่ผลักให้รัฐบาลจาการ์ตาและชาวปาปัวอยู่ห่างไกลกันมากขึ้น

อนาคตของปาปัวกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย การตัดสินใจของรัฐบาล โจโก วิโดโด ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะเป็นตัวชี้วัดว่าภูมิภาคนี้จะจมดิ่งลงสู่เกลียวคลื่นแห่งความรุนแรงระลอกใหม่ หรือจะมีความพยายามอย่างจริงใจในการเปิดพื้นที่สำหรับการเจรจาเพื่อหาทางออกที่ยั่งยืน ซึ่งประชาคมระหว่างประเทศ รวมถึงเพื่อนบ้านในอาเซียนอย่างประเทศไทย กำลังจับตามองอย่างใกล้ชิดด้วยความหวังว่าสันติภาพจะกลับคืนมาโดยเร็วที่สุด

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *