นิสสัน GT-R ยุติการผลิต ปิดตำนาน 17 ปี ‘Godzilla’ R35 และบทต่อไปที่โลกยานยนต์รอคอย

นิสสัน GT-R ยุติการผลิต

วงการยานยนต์โลกต้องจารึกอีกครั้ง เมื่อ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ จำกัด ได้ประกาศอย่างเป็นทางการถึงการ ยุติการผลิต อสูรกายบนท้องถนนเจ้าของฉายา “Godzilla” อย่าง Nissan GT-R R35 หลังจากโลดแล่นสร้างประวัติศาสตร์ในฐานะ “นักฆ่าซูเปอร์คาร์” มายาวนานกว่า 17 ปี การตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์นี้ไม่ได้เป็นเพียงการสิ้นสุดของรถยนต์สปอร์ตรุ่นหนึ่ง แต่คือการปิดฉากมหากาพย์แห่งวิศวกรรมยานยนต์ญี่ปุ่นที่เคยสั่นสะเทือนวงการซูเปอร์คาร์ทั่วยุโรป พร้อมทิ้งคำถามสำคัญไว้ว่า… อะไรคือสาเหตุที่แท้จริง? และอนาคตของบัลลังก์ Godzilla จะถูกส่งต่อไปในรูปแบบใด?

บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทุกมิติของการ ปิดตำนาน GT-R ตั้งแต่เบื้องหลังการตัดสินใจที่ซับซ้อนกว่าแค่เรื่องของยอดขาย ไปจนถึงการสำรวจคุณค่าของ “รุ่นสั่งลา” ที่กำลังจะกลายเป็นสมบัติล้ำค่าของนักสะสม พร้อมทั้งวิเคราะห์ทิศทางและอนาคตของตำนาน JDM บทนี้ในวันที่โลกกำลังหมุนเข้าสู่ยุคของพลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มตัว

AXED: Nissan's legendary R35 GT-R reaches end of the line

วาระสุดท้ายของ R35 ทำไม “Godzilla” ถึงต้องอำลาวงการ?

การเดินทางอันยาวนานของ GT-R R35 ที่เริ่มต้นอย่างยิ่งใหญ่ในปี 2007 กำลังจะถึงเส้นชัย ไม่ใช่เพราะสมรรถนะที่ลดน้อยถอยลง แต่เป็นเพราะกำแพงแห่งยุคสมัยที่สูงเกินกว่าจะก้าวข้ามไปได้ด้วยแพลตฟอร์มเดิม ปัจจัยหลักที่นำไปสู่การตัดสินใจ นิสสัน GT-R ยุติการผลิต นั้นมีหลายมิติที่ซ้อนกันอยู่

  • กฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น นี่คือสาเหตุสำคัญที่สุด ทั้งกฎหมายด้านการปล่อยไอเสีย (Emission Standards), ระดับความดังของท่อไอเสีย (Noise Regulations), และมาตรฐานความปลอดภัยจากการชน (Crash Test Safety) ทั่วโลกมีการปรับปรุงให้เข้มงวดขึ้นอย่างต่อเนื่อง การจะปรับปรุงแพลตฟอร์ม R35 ที่มีอายุเกือบ 2 ทศวรรษให้ผ่านมาตรฐานใหม่ๆ ในอนาคตนั้น ต้องใช้งบประมาณในการวิจัยและพัฒนามหาศาล ซึ่งอาจไม่คุ้มค่าในเชิงธุรกิจ
  • ต้นทุนการผลิตและแพลตฟอร์มที่ล้าสมัย แม้จะมีการปรับโฉมและอัปเกรดมาตลอด แต่โครงสร้างพื้นฐานหลักของ R35 ยังคงเป็นเทคโนโลยีจากช่วงกลางยุค 2000s การพัฒนาชิ้นส่วนใหม่ๆ เพื่อให้เข้ากับโครงสร้างเดิมเริ่มทำได้ยากและมีต้นทุนสูงขึ้น สวนทางกับเทรนด์การพัฒนาแพลตฟอร์มยุคใหม่ที่รองรับได้ทั้งเครื่องยนต์สันดาปและระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า
  • การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า (EV Transformation) นิสสันกำลังเดินหน้าอย่างเต็มกำลังในแผนกลยุทธ์ระยะยาว “Nissan Ambition 2030” ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีขับเคลื่อนแห่งอนาคต การทุ่มเททรัพยากรบุคคลและงบประมาณไปกับการพัฒนารถสปอร์ต EV เรือธงรุ่นใหม่ จึงเป็นทิศทางที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของบริษัทมากกว่าการยืดอายุ R35 ต่อไป

การตัดสินใจยุติการผลิตครั้งนี้ จึงเป็นการขยับตัวเชิงกลยุทธ์เพื่อหลีกทางให้กับ “บทต่อไป” ของ รถสปอร์ตนิสสัน ที่กำลังจะมาถึง

สองรุ่นสุดท้ายในฐานะบทสั่งลา T-spec Takumi และ Skyline Edition

เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองและให้เกียรติแก่ตำนาน R35 นิสสันได้เปิดตัวสองรุ่นพิเศษสำหรับโมเดลปี 2025 ในตลาดอเมริกาเหนือ ซึ่งเปรียบเสมือน “บทสั่งลา” ที่แฟนพันธุ์แท้และนักสะสมทั่วโลกต่างจับจ้อง

  • Nissan GT-R T-spec Takumi Edition รุ่นนี้คือการสดุดีแด่ “ทาคูมิ” (Takumi) หรือปรมาจารย์ช่างฝีมือผู้ประกอบ เครื่องยนต์ VR38DETT ด้วยมือทุกเครื่อง ความพิเศษของมันอยู่ที่แผ่นเพลทสีทองบนเครื่องยนต์ที่จะระบุชื่อของช่างผู้ประกอบ พร้อมกับลายเซ็นสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยสีเขียวพิเศษ “Mori Green” และมาพร้อมกับเบรกคาร์บอนเซรามิกจากรุ่น NISMO เป็นมาตรฐาน
  • Nissan GT-R Skyline Edition ชื่อนี้คือการปลุกตำนาน “Skyline” ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง โดยได้รับแรงบันดาลใจจากสีน้ำเงิน “Bayside Blue” อันเป็นเอกลักษณ์ของ GT-R R34 ในอดีต ทำให้มันเป็นที่ต้องการของแฟนๆ ที่โหยหาความคลาสสิกของ JDM

GT-R R35 รุ่นสุดท้าย ทั้งสองโมเดลนี้ไม่ได้เป็นเพียงรถยนต์ แต่เป็นเหมือนงานศิลปะที่เคลื่อนที่ได้ เป็นการสรุปความสำเร็จตลอด 17 ปี และคาดการณ์ว่าจะกลายเป็นรถยนต์ที่นักสะสมต้องการตัวมากที่สุดรุ่นหนึ่งในอนาคตอันใกล้ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อคำถามที่ว่า Nissan GT-R รุ่นสุดท้ายราคาเท่าไหร่ ในตลาดรีเซลล์ ที่คาดว่าจะพุ่งสูงขึ้นอย่างแน่นอน

AXED: Nissan's legendary R35 GT-R reaches end of the line

จาก Skyline สู่ R35 มรดกแห่งความเร็วที่โลกไม่ลืม

ก่อนที่เราจะมองไปข้างหน้า การย้อนกลับไปดูรากเหง้าของ GT-R คือสิ่งสำคัญที่ทำให้เข้าใจว่าทำไมการอำลาครั้งนี้ถึงมีความหมายมากมายนัก

ชื่อ GT-R (Gran Turismo Racing) ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในปี 1969 กับรถยนต์ Nissan Skyline GT-R (PGC10) และได้สร้างชื่อเสียงในสนามแข่งจนกลายเป็นตำนาน จากรุ่น R32 ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ATTESA E-TS จนได้รับฉายาว่า “Godzilla” เพราะมันบุกไปทำลายสถิติและคว้าชัยชนะเหนือรถแข่งจากยุโรปในสนามต่างๆ ทั่วโลก จนมาถึง R33 และ R34 ที่กลายเป็นไอคอนของวัฒนธรรม JDM ผ่านภาพยนตร์และวิดีโอเกม

จนกระทั่งปี 2007 GT-R R35 ได้ถือกำเนิดขึ้นโดยแยกตัวออกจากชื่อ “Skyline” อย่างเป็นทางการ และสร้างนิยามใหม่ของคำว่า “ซูเปอร์คาร์ที่ทุกคนเข้าถึงได้” (Everyday Supercar) ด้วยสมรรถนะระดับโลกในราคาที่สมเหตุสมผล มันพิสูจน์ให้เห็นว่ารถจากญี่ปุ่นสามารถต่อกรกับแบรนด์ดังจากอิตาลีและเยอรมนีได้อย่างสมศักดิ์ศรี

การ ปิดตำนาน GT-R R35 จึงเป็นการสิ้นสุดของสายพันธุ์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปล้วนที่สืบทอด DNA มาอย่างยาวนาน และเป็นการส่งไม้ต่อให้กับเทคโนโลยีแห่งอนาคต

ผลกระทบต่อตลาดและเสียงจากคนในวงการ

ข่าวการยุติการผลิตได้ส่งแรงกระเพื่อมไปทั่ววงการยานยนต์และตลาดรถยนต์มือสองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

  • ตลาดรถยนต์มือสอง ราคาของ GT-R R35 มือสองมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าและปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะรุ่นพิเศษหรือรุ่นที่มีเลขไมล์น้อยๆ ทำให้เกิดคำถามว่า ซื้อ GT-R R35 มือสองยังน่าสนใจไหม สำหรับนักลงทุนและนักสะสม นี่คือโอกาสทอง แต่สำหรับแฟนพันธุ์แท้ที่อยากครอบครอง อาจจะต้องจ่ายในราคาที่สูงขึ้นกว่าเดิม
  • คุณค่าทางจิตใจ สำหรับคอมมูนิตี้คนรักรถ GT-R คือสัญลักษณ์ของความสำเร็จด้านวิศวกรรมและความหลงใหลในความเร็ว การจากไปของ R35 ทำให้เกิดความรู้สึกโหยหาและเสียดาย แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความตื่นเต้นและความคาดหวังต่อโมเดลในอนาคต
  • ทิศทางของคู่แข่ง การหายไปของ GT-R R35 เปิดโอกาสให้รถสปอร์ตสมรรถนะสูงแบรนด์อื่นๆ เข้ามาทำตลาดได้มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการกดดันให้คู่แข่งต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อรอรับการกลับมาของ Godzilla ในยุคถัดไป

อนาคตของ Nissan GT-R จะเป็นอย่างไร สู่ยุค Godzilla พลังไฟฟ้า?

คำถามที่ดังที่สุดในใจของแฟนๆ ทั่วโลกคือ อนาคตของ Nissan GT-R จะเป็นอย่างไร แม้ว่านิสสันจะยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ทุกสัญญาณบ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกัน Godzilla กำลังจะกลายเป็นอสูรกายพลังไฟฟ้า

เบาะแสที่ชัดเจนที่สุดคือรถยนต์ต้นแบบ “Nissan Hyper Force” ที่จัดแสดงในงาน Japan Mobility Show 2023 ด้วยดีไซน์ที่ดุดัน รูปทรงที่ชวนให้นึกถึง GT-R และที่สำคัญคือระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าสมรรถนะสูงที่ให้กำลังถึง 1,341 แรงม้า (1,000 kW) พร้อมเทคโนโลยีแบตเตอรี่โซลิดสเตต (All-Solid-State Batteries)

แม้ Hyper Force จะเป็นเพียงรถต้นแบบ แต่มันคือการประกาศเจตนารมณ์ที่ชัดเจนจากนิสสันว่า ตำนาน GT-R จะไม่ตาย แต่จะถูก “เกิดใหม่” ในร่างของ EV Supercar ที่จะมาสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการอีกครั้ง เหมือนที่ R35 เคยทำไว้เมื่อ 17 ปีก่อน

Nissan Ends GT-R Production in Japan After 18 Years - ArabGT

บทสรุป (Conclusion)

การประกาศ นิสสัน GT-R ยุติการผลิต สำหรับ R35 คือการปิดม่านการแสดงอันยาวนานและยิ่งใหญ่ของหนึ่งในรถยนต์สปอร์ตที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งศตวรรษที่ 21 มันคือจุดสิ้นสุดของยุคเครื่องยนต์สันดาป VR38DETT ที่เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของช่างฝีมือ ทาคูมิ และเป็นบทสรุปของตำนาน “นักฆ่าซูเปอร์คาร์” ที่โลกจะจดจำไปอีกนาน

แต่ในทุกการสิ้นสุดคือจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ แม้ว่าเราจะต้องอำลา Godzilla ในร่างเดิม แต่ดูเหมือนว่าอสูรกายตัวนี้ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่กำลังหลบไปซุ่มชาร์จพลังงานไฟฟ้า เพื่อรอวันที่จะกลับมาทวงบัลลังก์เจ้าแห่งความเร็วอีกครั้งในรูปแบบที่น่าเกรงขามและทรงพลังยิ่งกว่าเดิม และนั่นคือ “อนาคต” ที่แฟน GT-R ทั่วโลกกำลังตั้งตารอคอยอย่างมีความหวัง

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *