ริยาด, ซาอุดีอาระเบีย – การประกาศอย่างเป็นทางการของ Lenovo ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีจากจีน ในการจัดตั้ง สำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาค ตะวันออกกลางและแอฟริกา (MEA) ในกรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย อาจดูเหมือนเป็นเพียงความเคลื่อนไหวทางธุรกิจของบริษัทหนึ่ง แต่หากมองให้ลึกลงไป นี่คือแผ่นดินไหวทางภูมิรัฐศาสตร์เศรษฐกิจครั้งสำคัญ และเป็นสัญญาณเตือนที่ดังที่สุดมาถึงประเทศไทย ซึ่งมีความฝันที่จะเป็น “ฮับ” ของภูมิภาคมาอย่างยาวนาน
การจับมือกันระหว่าง Lenovo ซาอุดีอาระเบีย ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ของยุทธศาสตร์ชาติที่ทะเยอทะยานอย่าง Saudi Vision 2030 ที่กำลังใช้ “พลังเงิน” และ “พลังแห่งการปฏิรูป” ดูดกลืนการลงทุนจากทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน บทความวิเคราะห์เชิงลึกชิ้นนี้ จะไม่ได้แค่รายงานว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จะพาไปสำรวจว่า ทำไม Lenovo ถึงเลือกตั้งสำนักงานใหญ่ในซาอุดีอาระเบีย การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนภาพการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างไร และที่สำคัญที่สุด ประเทศไทยจะแข่งขันกับซาอุดีอาระเบียได้อย่างไร ในสมรภูมิที่นับวันจะดุเดือดยิ่งขึ้น
ไม่ใช่แค่ดีลธุรกิจ เบื้องหลังการจับมือของยักษ์เทคจีนและมหาอำนาจน้ำมัน
การตัดสินใจของ Lenovo เป็นมากกว่าการเลือกที่ตั้งออฟฟิศ แต่มันคือการบรรจบกันของสองยุทธศาสตร์ชาติที่ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษที่ 21
ฝั่งจีน ยุทธศาสตร์ขยายอิทธิพลผ่านเทคโนโลยี สำหรับ บริษัทเทคโนโลยีจีน อย่าง Lenovo การไปปักธงในซาอุดีอาระเบียคือการเดินเกมที่ชาญฉลาดหลายมิติ
- เจาะตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ ภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกา (MEA) คือตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ที่กำลังอยู่ในช่วงของการทำ Digital Transformation ซึ่งเป็นโอกาสมหาศาลสำหรับผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์, เซิร์ฟเวอร์ และโซลูชัน AI ของ Lenovo
- กระจายความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ การขยายฐานที่มั่นไปยังภูมิภาคที่เป็นกลางและมีอำนาจต่อรองสูงอย่างตะวันออกกลาง ช่วยลดการพึ่งพิงตลาดตะวันตกและสร้างสมดุลอำนาจใหม่
- เชื่อมต่อกับ Belt and Road Initiative (BRI) ซาอุดีอาระเบียคือจุดยุทธศาสตร์สำคัญของโครงการเส้นทางสายไหมใหม่ของจีน การตั้งสำนักงานใหญ่ที่นี่จึงเป็นการเสริมสร้างเครือข่ายโลจิสติกส์และอิทธิพลของจีนในภูมิภาค
ฝั่งซาอุดีอาระเบีย ปฏิวัติประเทศด้วย Saudi Vision 2030 การมาของ Lenovo คือชัยชนะครั้งสำคัญของมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน และแผนปฏิรูปประเทศครั้งประวัติศาสตร์ Saudi Vision 2030 ซึ่งมีเป้าหมายหลักคือ
- ลดการพึ่งพาน้ำมัน เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศจากการพึ่งพารายได้จากการส่งออกน้ำมันเพียงอย่างเดียว ไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี, การท่องเที่ยว, การเงิน และโลจิสติกส์
- ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ รัฐบาลซาอุฯ ได้เปิดตัวโครงการ “Regional HQ Program” ซึ่งให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและข้อเสนอที่น่าดึงดูดใจอย่างยิ่งแก่บริษัทข้ามชาติที่ยอมย้ายสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคมาตั้งใน ริยาด แทนที่จะเป็นเมืองคู่แข่งเดิมๆ อย่างดูไบ
- สร้างระบบนิเวศทางเทคโนโลยี การดึงบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Lenovo เข้ามา ไม่ใช่แค่การลงทุน แต่คือการนำเข้าองค์ความรู้, บุคลากรที่มีความสามารถ และช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดสตาร์ทอัพและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในประเทศ เหมือนที่โครงการเมกะโปรเจกต์อย่างเมืองอัจฉริยะ NEOM พยายามจะทำ
การจับมือครั้งนี้จึงเป็นสถานการณ์ที่ Win-Win สำหรับทั้งสองฝ่าย และเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของการจัดระเบียบโลกใหม่ที่จีนและมหาอำนาจในตะวันออกกลางกำลังมีบทบาทนำมากขึ้น
“Saudi Vision 2030” แม่เหล็กดูดทุนที่ไทยต้องจับตา
ผลกระทบของ Saudi Vision 2030 ต่อเศรษฐกิจโลก กำลังปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และนี่คือสิ่งที่ทำให้ซาอุดีอาระเบียกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวในการดึงดูดการลงทุน
- พลังของกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (PIF) ซาอุฯ มีกองทุน Public Investment Fund (PIF) ที่มีสินทรัพย์มหาศาล พร้อมที่จะเข้าไปร่วมลงทุนกับบริษัทต่างชาติในโครงการต่างๆ ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธ
- การปฏิรูปกฎหมายและสังคม มีการปฏิรูปกฎหมายเพื่อเอื้อต่อการทำธุรกิจของชาวต่างชาติมากขึ้น รวมถึงการปฏิรูปทางสังคม เช่น การอนุญาตให้ผู้หญิงขับรถและทำงาน ซึ่งช่วยปรับภาพลักษณ์ประเทศให้ทันสมัยขึ้น
- ความเร็วในการตัดสินใจ ระบบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทำให้การตัดสินใจและอนุมัติโครงการขนาดใหญ่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ไม่ติดขัดกับกระบวนการที่ยืดเยื้อเหมือนในหลายประเทศ
- ตลาดภายในขนาดใหญ่ ซาอุดีอาระเบียมีประชากรจำนวนมากและมีกำลังซื้อสูง เป็นทั้งตลาดที่น่าสนใจและเป็นประตูสู่ตลาดอื่นๆ ในกลุ่มประเทศ GCC และแอฟริกา
มองเขา ย้อนดูเรา “Thailand 4.0” และ “EEC” แข่งขันได้แค่ไหน?
ข่าว Lenovo ซาอุดีอาระเบีย คือกระจกบานใหญ่ที่สะท้อนมายังยุทธศาสตร์การพัฒนาของประเทศไทยโดยตรง เรามีความฝันที่จะเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียนผ่านนโยบาย Thailand 4.0 และมีโครงการเรือธงอย่าง EEC (Eastern Economic Corridor) เป็นเครื่องมือสำคัญ แต่เมื่อเทียบกับคู่แข่งหน้าใหม่ที่มาแรงอย่างซาอุดีอาระเบีย เรากำลังเผชิญกับความท้าทายอะไรบ้าง?
เทียบหมัดต่อหมัด ยุทธศาสตร์ดึงดูดการลงทุน
ประเด็น | Saudi Vision 2030 | EEC / Thailand 4.0 |
เงินทุน/แรงจูงใจ | ใช้กองทุน PIF ขนาดใหญ่เข้าร่วมลงทุน, สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ชัดเจนในโครงการ HQ | เน้นสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก BOI, การลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้เชี่ยวชาญ |
โครงสร้างพื้นฐาน | ลงทุนมหาศาลในโครงการใหม่ทั้งหมด เช่น เมือง NEOM, สนามบินใหม่, ท่าเรือ | เน้นการยกระดับและเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เดิม (สนามบินอู่ตะเภา, ท่าเรือแหลมฉบัง, รถไฟความเร็วสูง) |
ความเร็ว/ความเด็ดขาด | การตัดสินใจรวมศูนย์ รวดเร็วและเด็ดขาด | กระบวนการต้องผ่านหลายขั้นตอน, อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามนโยบายรัฐบาล |
จุดขายหลัก | การเป็นประตูสู่ตะวันออกกลางและแอฟริกา, พลังงาน, การปฏิรูปครั้งประวัติศาสตร์ | การเป็นศูนย์กลางของ ASEAN, ซัพพลายเชนอุตสาหกรรมเดิมที่แข็งแกร่ง (ยานยนต์, อิเล็กทรอนิกส์) |
ส่งออกไปยังชีต
บทเรียนสำหรับประเทศไทย มากกว่าแค่เรื่องภาษี
การแข่งขันในเวทีโลกยุคใหม่ไม่ได้วัดกันที่สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่คือการแข่งขันในภาพรวมของ “ระบบนิเวศ” (Ecosystem) ทั้งหมด บทเรียนที่ไทยอาจต้องเรียนรู้จากการเคลื่อนไหวของซาอุดีอาระเบียคือ
- ความชัดเจนและต่อเนื่องของนโยบาย นักลงทุนต้องการเห็นวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและนโยบายที่ต่อเนื่องในระยะยาว ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ทางการเมือง
- ความเร็วคือสิ่งสำคัญ โลกหมุนเร็วเกินกว่าจะรอกระบวนการที่ล่าช้า การมีกลไกอนุมัติแบบ Fast-track สำหรับโครงการยุทธศาสตร์เป็นสิ่งจำเป็น
- การสร้างเรื่องราวที่น่าดึงดูด (Compelling Narrative) Saudi Vision 2030 คือเรื่องราวของการ “สร้างชาติใหม่” ที่ทรงพลังและดึงดูดความสนใจจากทั่วโลก ขณะที่เรื่องราวของ EEC อาจยังต้องสื่อสารให้ทรงพลังและชัดเจนกว่านี้ในเวทีโลก
- ความพร้อมของบุคลากร การดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีต้องมาพร้อมกับการปฏิรูปการศึกษาเพื่อสร้างบุคลากรที่มีทักษะสูงมารองรับ
บทสรุป เมื่อโลกไม่รอ…ไทยต้องวิ่งให้เร็วขึ้น
การที่ Lenovo ซาอุดีอาระเบีย กลายเป็นความจริง คือภาพยืนยันว่าภูมิทัศน์การลงทุนของโลกได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างถาวร แกนอำนาจกำลังเคลื่อนตัว ผู้เล่นหน้าใหม่ที่มาพร้อมวิสัยทัศน์และทุนมหาศาลอย่างซาอุดีอาระเบีย กำลังก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งโดยตรงของทุกประเทศที่ต้องการจะเป็น “ฮับ” รวมถึงประเทศไทย
นี่ไม่ใช่เวลาแห่งการตระหนก แต่เป็นเวลาที่ต้องตระหนักและลงมือทำอย่างจริงจัง ยุทธศาสตร์ EEC และ Thailand 4.0 ยังคงเป็นแนวทางที่ถูกต้อง แต่จำเป็นต้องได้รับการ “อัปเกรด” ทั้งในด้านความเร็ว, ความต่อเนื่องของนโยบาย, และการสร้างแรงจูงใจที่เหนือกว่าคู่แข่ง เพราะในเกมการแข่งขันระดับโลกที่เดิมพันด้วยอนาคตของประเทศ…ไม่มีรางวัลสำหรับผู้ที่มาช้า
แหล่งที่มาจาก : am2con