ฮานอย, เวียดนาม – ในขณะที่ประเทศไทยยังคงวนเวียนอยู่กับการถกเถียงเรื่องการจัดตั้ง Entertainment Complex ไทย รัฐบาลเวียดนามได้ตัดสินใจ “ทุบโต๊ะ” เดินหน้าเต็มกำลังด้วยการประกาศแผนยุทธศาสตร์ที่จะพลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของตนเองไปตลอดกาล ด้วยการไฟเขียวโครงการ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ (Integrated Resort – IR) มูลค่ากว่า 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.4 แสนล้านบาท) พร้อมส่งสัญญาณเตรียมผลักดัน กฎหมายกาสิโน ฉบับใหม่ เพื่อปลดล็อกให้ “คนเวียดนาม” สามารถเข้าใช้บริการกาสิโนถูกกฎหมายได้อย่างถาวรทั่วประเทศ
การตัดสินใจที่เด็ดขาดและรวดเร็วนี้ ไม่ใช่แค่ข่าวการลงทุนขนาดใหญ่ แต่คือ “คำประกาศสงคราม” ในสมรภูมิดึงดูดนักท่องเที่ยวและเม็ดเงินลงทุนในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งส่งแรงสั่นสะเทือนมาถึงประเทศไทยโดยตรง บทความวิเคราะห์เชิงลึกชิ้นนี้จะพาไปเจาะเบื้องหลังทุกมิติของก้าวย่างครั้งประวัติศาสตร์ของเวียดนาม ถอดรหัสโมเดลที่พวกเขาเลือกใช้ และตั้งคำถามสำคัญว่า ท่ามกลางการสปริ้นท์เข้าเส้นชัยของคู่แข่ง… ไทยควรเรียนรู้อะไรจากนโยบายกาสิโนเวียดนาม และความลังเลของเรากำลังทำให้ชาติสูญเสียโอกาสมหาศาลไปมากน้อยเพียงใด?
ไม่ใช่แค่ลองอีกต่อไป จาก “โครงการนำร่อง” สู่ “นโยบายถาวร”
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า แนวคิดเรื่อง กาสิโนเวียดนาม สำหรับคนในชาติไม่ใช่เรื่องใหม่ทั้งหมด ย้อนกลับไปในปี 2560 รัฐบาลเวียดนามได้เริ่ม “โครงการนำร่อง” (Pilot Program) อนุญาตให้ชาวเวียดนามที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด (อายุ 21 ปีขึ้นไป และมีรายได้ขั้นต่ำ 10 ล้านดองต่อเดือน หรือประมาณ 15,000 บาท) สามารถเข้าเล่นในกาสิโนบางแห่งที่ได้รับอนุญาตได้ โดยมี Corona Resort & Casino บนเกาะฟู้โกว๊ก เป็นสนามทดลองแห่งแรก
โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ
- ทดลองตลาด ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดขึ้น
- ดึงเงินกลับประเทศ หยุดยั้งเม็ดเงินมหาศาลที่ชาวเวียดนามลักลอบนำออกไปเล่นการพนันในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกัมพูชา
- เก็บข้อมูล รวบรวมข้อมูลเพื่อใช้ในการร่าง กฎหมายกาสิโน ฉบับถาวร
และล่าสุด (จำลองสถานการณ์ ณ วันที่ 21 ส.ค. 68) แหล่งข่าวระดับสูงจากรัฐบาลได้ยืนยันว่า ผลการประเมินโครงการนำร่องตลอดหลายปีที่ผ่านมาเป็นที่ “น่าพอใจอย่างยิ่ง” ในมิติทางเศรษฐกิจ ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลังเดินหน้าร่างกฎหมายเพื่อ “ยุติ” สถานะการเป็นโครงการนำร่อง และเปลี่ยนให้เป็นนโยบายถาวร ซึ่งคาดว่าจะครอบคลุม เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ขนาดใหญ่ทุกแห่งในอนาคต
ถอดรหัส “โมเดลเวียดนาม” เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่ไม่ใช่แค่บ่อน
โมเดลเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ของเวียดนามเป็นอย่างไร? คำตอบคือ เวียดนามไม่ได้มองว่านี่คือการสร้าง “บ่อนกาสิโน” แต่เป็นการสร้าง “เมืองแห่งการพักผ่อนและสันทนาการครบวงจร” (Integrated Resort) โดยถอดแบบความสำเร็จมาจากสิงคโปร์ (Marina Bay Sands, Resorts World Sentosa) อย่างชัดเจน
องค์ประกอบสำคัญของ IR ตามแบบฉบับของเวียดนามจะประกอบด้วย
- ธุรกิจหลักที่ไม่ใช่เกมมิ่ง (Non-Gaming First) พื้นที่ส่วนใหญ่ของโครงการ (กว่า 80-90%) จะต้องถูกพัฒนาเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ที่ไม่ใช่กาสิโน เช่น
- โรงแรมหรูระดับ 5-6 ดาว ห้องพักหลายพันห้องเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทุกระดับ
- ศูนย์ประชุมและจัดแสดงสินค้า (MICE) ดึงดูดการจัดงานอีเวนต์และงานประชุมระดับนานาชาติ
- ศูนย์การค้าแบรนด์เนมและร้านอาหารชั้นนำ สร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งและรับประทานอาหารระดับโลก
- โรงละคร สวนสนุก และสถานที่จัดแสดง จัดโชว์ระดับโลกเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัว
- กาสิโนเป็นเพียงส่วนประกอบ พื้นที่สำหรับกาสิโนจะถูกจำกัดไว้เพียงส่วนน้อย แต่จะเป็น “แม่เหล็ก” สำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและสร้างรายได้หลักให้กับโครงการ
- เงื่อนไขที่เข้มงวดสำหรับคนในชาติ แม้จะปลดล็อก แต่ก็ยังคงมีมาตรการป้องกันผลกระทบทางสังคมที่เข้มข้น เช่น การกำหนดรายได้ขั้นต่ำ, การซื้อตั๋วเข้า (Entry Levy) คล้ายกับของสิงคโปร์ เพื่อกันคนที่มีรายได้น้อยไม่ให้เข้าถึงได้ง่ายเกินไป
- การลงทุนขนาดมหึมา รัฐบาลกำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำของโครงการไว้สูงถึง 2-4 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้นักลงทุนระดับโลกที่มีศักยภาพและประสบการณ์จริงเท่านั้น
โครงการล่าสุดที่ได้รับการอนุมัติในหลักการที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ Van Don จังหวัดกว๋างนิญ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากแหล่งมรดกโลกอย่างอ่าวฮาลอง คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของวิสัยทัศน์นี้
เดิมพันครั้งใหญ่ ผลได้-ผลเสียทางเศรษฐกิจและสังคม
แน่นอนว่า ผลกระทบของการเปิดกาสิโนถูกกฎหมายในเวียดนาม นั้นมีทั้งสองด้านที่รัฐบาลต้องบริหารจัดการอย่างระมัดระวัง
ด้านสว่าง ภาษีมหาศาล, การจ้างงาน, และการท่องเที่ยว
- รายได้จากภาษี ภาษีการพนัน จะกลายเป็นแหล่งรายได้ใหม่มหาศาลให้กับรัฐบาล เพื่อนำไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสวัสดิการสังคม
- การจ้างงาน โครงการ IR หนึ่งแห่งสามารถสร้างงานได้หลายหมื่นตำแหน่ง ตั้งแต่ระดับผู้บริหารไปจนถึงพนักงานบริการ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการว่างงานและกระจายรายได้
- ตัวกระตุ้นการท่องเที่ยว IR จะกลายเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ที่ช่วยยกระดับ การท่องเที่ยวเวียดนาม ดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีกำลังซื้อสูงให้อยู่ในประเทศนานขึ้นและใช้จ่ายมากขึ้น
- การพัฒนาพื้นที่ โครงการขนาดใหญ่จะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโดยรอบ ทั้งสนามบิน ถนน และระบบสาธารณูปโภค
ด้านมืด ปัญหาหนี้สิน, อาชญากรรม, และผลกระทบต่อสังคม
- ปัญหาการติดพนันและหนี้สิน เป็นความกังวลอันดับหนึ่งที่อาจส่งผลกระทบต่อสถาบันครอบครัว
- อาชญากรรมที่เพิ่มขึ้น อาจเกิดปัญหาอาชญากรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น การปล่อยเงินกู้นอกระบบ การฟอกเงิน และองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ
- ผลกระทบต่อเยาวชน สังคมมีความกังวลต่อทัศนคติของเยาวชนที่อาจมองว่าการพนันเป็นเรื่องปกติ
“เราทราบดีถึงความท้าทายทางสังคม แต่เราเชื่อมั่นว่าด้วยกฎระเบียบที่รัดกุมและโมเดลที่เน้นการท่องเที่ยวเป็นหลัก เราสามารถควบคุมผลกระทบเชิงลบและดึงประโยชน์สูงสุดทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้” – คำกล่าวจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการคลังเวียดนาม
มองเขา ย้อนดูเรา “Entertainment Complex ไทย” ถึงทางตันหรือทางแยก?
การตัดสินใจของเวียดนามครั้งนี้ เปรียบเสมือนการโยนก้อนหินขนาดใหญ่ลงมากลางวงสนทนาเรื่อง Entertainment Complex ไทย ที่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้าและเต็มไปด้วยความเห็นต่าง
ความเหมือนที่แตกต่าง เทียบชัดๆ โมเดลเวียดนาม vs. ร่างของไทย
ประเด็น | โมเดลเวียดนาม (ที่กำลังจะเป็นรูปเป็นร่าง) | ร่างโมเดลของไทย (ที่ยังถกเถียง) |
ความชัดเจน | มีนโยบายจากรัฐบาลสูงสุด, มีโครงการนำร่อง, กำลังออกกฎหมายถาวร | ยังอยู่ในขั้นศึกษา, ความเห็นทางการเมืองยังไม่เป็นเอกภาพ |
กลุ่มเป้าหมาย | เน้นต่างชาติเป็นหลัก แต่ ปลดล็อกถาวรให้คนในชาติ (มีเงื่อนไข) | เน้นต่างชาติเป็นหลัก แต่ประเด็นคนไทยเข้ายังเป็นที่ถกเถียงสูง |
รูปแบบ | Integrated Resort (IR) ชัดเจน กำหนดสัดส่วน Non-Gaming สูง | Entertainment Complex ซึ่งมีแนวคิดคล้าย IR แต่รายละเอียดยังไม่ชัดเจน |
การลงทุน | กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำสูงมาก (2-4 พันล้าน USD) เพื่อดึงดูดผู้เล่นรายใหญ่ | ยังไม่มีการกำหนดตัวเลขที่ชัดเจน |
ความเร็ว | ตัดสินใจเด็ดขาดและเดินหน้าอย่างรวดเร็ว | กระบวนการศึกษาและตัดสินใจใช้เวลานาน |
บทเรียนจากคู่แข่ง ไทยควรเรียนรู้อะไรจากก้าวที่เด็ดขาดของเวียดนาม?
- ความเด็ดขาดของผู้นำ การตัดสินใจในเรื่องใหญ่อย่างกาสิโนถูกกฎหมายต้องการวิสัยทัศน์และความกล้าหาญทางการเมือง
- การมีโครงการนำร่อง การทดลองในพื้นที่จำกัดช่วยลดความเสี่ยงและสร้างข้อมูลจริงเพื่อประกอบการตัดสินใจในภาพใหญ่
- การสื่อสารที่ชัดเจน เวียดนามสื่อสารชัดเจนว่านี่คือ “ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ” ไม่ใช่แค่การเปิดบ่อน ซึ่งช่วยลดแรงต้านจากสังคมได้ส่วนหนึ่ง
- เวลาไม่เคยรอใคร ในขณะที่ไทยยังคงถกเถียง เวียดนามกำลังจะเปิดโครงการและดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวกลุ่มเดียวกันกับที่ไทยต้องการ ซึ่งอาจหมายถึงการสูญเสียความสามารถในการเป็น “ผู้เล่นรายแรก” (First-mover advantage) ในแผ่นดินใหญ่ของอาเซียน
บทสรุป เมื่อเสียงทอยลูกเต๋าของเวียดนาม ดังมาถึงกรุงเทพฯ
การเดินเกมครั้งใหญ่ของเวียดนามในการผลักดัน เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ และปลดล็อก กาสิโนเวียดนาม ไม่ใช่แค่เรื่องภายในประเทศของเขาอีกต่อไป แต่มันคือการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การแข่งขันด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของทั้งภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับประเทศไทย นี่คือ “นาฬิกาปลุก” ที่ดังที่สุด เสียงทอยลูกเต๋าจากฮานอยได้ส่งสัญญาณมาถึงกรุงเทพฯ ว่าคู่แข่งของเราไม่รอช้าในการคว้าโอกาสทางเศรษฐกิจ แม้จะต้องแลกมากับความเสี่ยงทางสังคมที่ต้องบริหารจัดการอย่างหนักก็ตาม คำถามสำคัญในวันนี้จึงไม่ใช่แค่ว่าไทยควรจะมี Entertainment Complex หรือไม่ แต่อาจจะต้องถามใหม่ว่า “หากเราตัดสินใจช้ากว่านี้อีก เราจะสูญเสียอะไรไปบ้าง” ในเกมการแข่งขันที่ไม่มีที่ว่างสำหรับผู้ที่ลังเล
แหล่งที่มาจาก : am2con