วอชิงตัน ดี.ซี. – ในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 22 สิงหาคม 2568 ตามเวลาสากลเชิงพิกัด (UTC) สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ (USGS) ได้รายงานการเกิด แผ่นดินไหวขนาด 7.5 ในระดับความลึกเพียง 10 กิโลเมตร โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่บริเวณช่องแคบเดรก น่านน้ำปั่นป่วนที่คั่นระหว่างปลายสุดของทวีปอเมริกาใต้และคาบสมุทรแอนตาร์กติก แรงสั่นสะเทือนที่รุนแรงนี้ แม้จะเกิดขึ้นในพื้นที่ห่างไกลที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่ได้ส่งแรงกระเพื่อมไปทั่วชุมชนวิทยาศาสตร์ พร้อมจุดประกายคำถามสำคัญถึงเสถียรภาพทางธรณีวิทยาของดินแดนน้ำแข็ง และความเชื่อมโยงที่อาจมีต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เรารู้จัก
บทความข่าวเชิงลึกชิ้นนี้ จะไม่หยุดอยู่แค่การรายงานปรากฏการณ์ แต่จะพาคุณดำดิ่งลงไปใต้เกลียวคลื่นของช่องแคบเดรก เพื่อทำความรู้จักกับ “แผ่นสโกเชีย” ตัวแปรสำคัญที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ แผ่นดินไหวช่องแคบเดรก ครั้งนี้ พร้อมสำรวจประเด็นที่น่ากังวลที่สุด นั่นคือ เหตุการณ์นี้เป็นเพียงธรณีพิบัติภัยตามปกติ หรือเป็นสัญญาณเตือนภัยครั้งใหม่จาก ทวีปแอนตาร์กติกา ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
เกิดอะไรขึ้นที่ช่องแคบเดรก วิเคราะห์แรงสั่นสะเทือนขนาด 7.5
ตามข้อมูลที่เผยแพร่โดย USGS เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ถูกบันทึกไว้ด้วยข้อมูลที่แม่นยำ
- ขนาด (Magnitude) 7.5 ซึ่งจัดอยู่ในระดับ “ใหญ่” (Major) สามารถก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงเป็นวงกว้างหากเกิดในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น
- ตำแหน่ง (Location) บริเวณรอยต่อของแผ่นเปลือกโลกในช่องแคบเดรก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวเทือกเขากลางมหาสมุทรที่ซับซ้อน
- ความลึก (Depth) ประมาณ 10 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าตื้นมาก (Shallow) แผ่นดินไหวที่เกิดในระดับตื้นมักจะปลดปล่อยพลังงานสู่พื้นผิวได้มากกว่าและอาจก่อให้เกิดสึนามิได้ง่ายกว่าแผ่นดินไหวระดับลึก
- ประเภทการเคลื่อนตัว (Fault Type) การวิเคราะห์เบื้องต้นบ่งชี้ว่าเป็นการเคลื่อนตัวในแนวระนาบ (Strike-slip faulting) ซึ่งเกิดจากการที่แผ่นเปลือกโลกสองแผ่นเคลื่อนที่สวนทางกันในแนวราบ
ทันทีที่เกิดเหตุ ศูนย์เตือนภัยสึนามิแปซิฟิก (PTWC) ได้ออกประกาศเฝ้าระวัง คำเตือนสึนามิ สำหรับพื้นที่ชายฝั่งที่อยู่ใกล้เคียงในรัศมีจำกัด เช่น หมู่เกาะเซาท์เชตแลนด์และหมู่เกาะเซาท์ออร์คนีย์ แต่เนื่องจากไม่มีพื้นที่ชุมชนขนาดใหญ่ตั้งอยู่บริเวณดังกล่าว และลักษณะการเคลื่อนตัวของรอยเลื่อนไม่ได้ทำให้เกิดการยกตัวของพื้นทะเลในแนวดิ่งมากนัก ในเวลาต่อมาจึงได้มีการยกเลิกประกาศดังกล่าวไป สร้างความโล่งใจให้กับสถานีวิจัยนานาชาติที่ตั้งอยู่บนคาบสมุทรแอนตาร์กติก
รู้จัก “แผ่นสโกเชีย” ตัวเอกที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังแผ่นดินไหว
คนส่วนใหญ่มักคุ้นเคยกับ วงแหวนแห่งไฟ (Ring of Fire) ซึ่งเป็นแนวรอยต่อของแผ่นเปลือกโลกรอบมหาสมุทรแปซิฟิก แต่เหตุการณ์ แผ่นดินไหวช่องแคบเดรก ครั้งนี้ เกิดขึ้นบนรอยต่อของ แผ่นเปลือกโลก ที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนัก นั่นคือ แผ่นสโกเชีย (Scotia Plate)
แผ่นสโกเชียเป็นแผ่นเปลือกโลกขนาดเล็กที่มีลักษณะทางธรณีวิทยาที่ซับซ้อนและน่าสนใจอย่างยิ่ง
- ตำแหน่งที่เป็นเอกลักษณ์ มันถูกขนาบข้างด้วยแผ่นเปลือกโลกขนาดใหญ่อย่างแผ่นอเมริกาใต้ทางทิศเหนือ แผ่นแอนตาร์กติกทางทิศใต้และทิศตะวันตก และแผ่นแซนด์วิชขนาดเล็กทางทิศตะวันออก
- เขตมุดตัวของเปลือกโลก (Subduction Zone) ทางตะวันออกของแผ่นสโกเชีย มี “ร่องลึกเซาท์แซนด์วิช” (South Sandwich Trench) ซึ่งเป็นเขตมุดตัวที่แผ่นอเมริกาใต้กำลังเคลื่อนที่ลงไปใต้แผ่นแซนด์วิช ก่อให้เกิดกิจกรรมทางภูเขาไฟและแผ่นดินไหวรุนแรงบ่อยครั้ง
- รอยเลื่อนทรานส์ฟอร์ม (Transform Faults) ทางตอนเหนือและตอนใต้ของแผ่นสโกเชีย เป็นรอยเลื่อนขนาดใหญ่ที่แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่ผ่านกันในแนวราบ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของแผ่นดินไหวครั้งล่าสุดนี้
- “ประตู” สู่วงแหวนแห่งไฟ นักธรณีวิทยาบางคนมองว่าบริเวณนี้เปรียบเสมือน “ประตู” ที่เชื่อมต่อกิจกรรมทางธรณีวิทยาของเทือกเขาแอนดีสในอเมริกาใต้เข้ากับแนว วงแหวนแห่งไฟ ในมหาสมุทรแปซิฟิก
“แผ่นสโกเชียเป็นหนึ่งในห้องทดลองทางธรรมชาติที่ดีที่สุดในโลกสำหรับการศึกษาปฏิสัมพันธ์ของแผ่นเปลือกโลก แผ่นดินไหวครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจถึงพลังงานมหาศาลที่สะสมอยู่ตามแนวรอยต่อเหล่านี้” ดร. นักธรณีวิทยาจากสถาบันสมุทรศาสตร์วูดสโฮล ให้ทัศนะ
จุดที่น่ากังวลที่สุด แผ่นดินไหวเชื่อมโยงกับ “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” หรือไม่?
คำถามที่สำคัญที่สุดที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์นี้คือ แผ่นดินไหวช่องแคบเดรกส่งผลกระทบอะไรบ้าง นอกเหนือจากแรงสั่นสะเทือน และมันมีความเชื่อมโยงกับวิกฤตที่ใหญ่กว่าอย่าง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือไม่?
ประเด็นนี้เป็นหัวข้อถกเถียงที่ซับซ้อนในแวดวงวิทยาศาสตร์ แต่มีทฤษฎีหนึ่งที่ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ คือ “Glacial Isostatic Adjustment” (GIA) หรือ “การปรับสมดุลของเปลือกโลกจากการเปลี่ยนแปลงของธารน้ำแข็ง”
ทฤษฎี Glacial Isostatic Adjustment ทำงานอย่างไร?
แนวคิดหลักของ GIA คือ
- น้ำหนักที่กดทับ ตลอดหลายล้านปี พืดน้ำแข็งขนาดมหึมาในทวีปแอนตาร์กติกาได้กดทับแผ่นเปลือกโลกให้ยุบตัวลงไปในชั้นเนื้อโลก (Mantle) ที่มีความหนืด
- การละลายของน้ำแข็ง เมื่อโลกร้อนขึ้น พืดน้ำแข็งเหล่านี้เริ่มละลายและสูญเสียมวลไปอย่างรวดเร็ว น้ำหนักที่เคยกดทับเปลือกโลกก็ลดลง
- การดีดตัวกลับของเปลือกโลก เมื่อปราศจากน้ำหนักกดทับ แผ่นเปลือกโลกจะเริ่ม “ดีดตัว” หรือลอยตัวสูงขึ้นอย่างช้าๆ เพื่อกลับเข้าสู่จุดสมดุลเดิม
- การกระตุ้นรอยเลื่อน กระบวนการดีดตัวนี้สามารถเปลี่ยนแปลงระดับความเค้น (Stress) บนรอยเลื่อนที่มีอยู่เดิมในเปลือกโลก และอาจ “กระตุ้น” ให้รอยเลื่อนเหล่านั้นปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปของแผ่นดินไหวได้ง่ายขึ้นหรือบ่อยขึ้น
แม้ว่านักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่จะยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าแผ่นดินไหวขนาด 7.5 ครั้งนี้มีสาเหตุโดยตรงจาก GIA แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธความเป็นไปได้นี้ได้เช่นกัน เหตุการณ์นี้จึงกลายเป็นข้อมูลสำคัญที่กระตุ้นให้นักวิจัยต้องเร่งศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกกับเสถียรภาพทางธรณีวิทยาอย่างจริงจังมากขึ้น
ผลกระทบต่อสถานีวิจัยและระบบนิเวศที่เปราะบาง
แม้จะไม่มีผู้เสียชีวิต แต่แรงสั่นสะเทือนครั้งนี้ก็สร้างความกังวลให้กับบุคลากรในสถานีวิจัยนานาชาติหลายแห่งที่ตั้งอยู่บนคาบสมุทรแอนตาร์กติกและหมู่เกาะโดยรอบ เช่น สถานีวิจัย Palmer ของสหรัฐอเมริกา และสถานี Carlini ของอาร์เจนตินา
- การตรวจสอบโครงสร้าง สถานีวิจัยเหล่านี้ถูกออกแบบมาให้ทนทานต่อสภาพอากาศที่เลวร้าย แต่แผ่นดินไหวขนาดใหญ่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทีมงานต้องทำการตรวจสอบความปลอดภัยของโครงสร้างอาคารและอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียด
- ความเสี่ยงต่อภูเขาน้ำแข็ง แรงสั่นสะเทือนอาจทำให้แผ่นน้ำแข็งหรือภูเขาน้ำแข็งที่ไม่มีเสถียรภาพอยู่แล้ว เกิดการแตกหรือถล่มลงมา ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อการเดินเรือและสัตว์ทะเลในบริเวณนั้น
- ผลกระทบต่อการวิจัย การเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่เปิดโอกาสให้นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาการตอบสนองของแผ่นเปลือกโลกและระบบนิเวศในทันที มีการติดตั้งเครื่องมือวัดแผ่นดินไหว (Seismometer) เพิ่มเติมเพื่อเก็บข้อมูล Aftershock และศึกษาโครงสร้างใต้เปลือกโลกอย่างละเอียด
บทสรุป เสียงคำรามจากขั้วโลกใต้ที่โลกไม่อาจเพิกเฉย
แผ่นดินไหวช่องแคบเดรก ขนาด 7.5 อาจเป็นเพียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงในพื้นที่ห่างไกล แต่ความหมายโดยนัยของมันนั้นยิ่งใหญ่กว่ามาก มันคือเครื่องเตือนใจถึงพลังอันมหาศาลของธรรมชาติที่ยังคงทำงานอยู่ใต้เท้าของเรา และเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าทุกส่วนของโลกนั้นเชื่อมโยงถึงกัน
ปรากฏการณ์นี้บังคับให้เราต้องตั้งคำถามที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบของกิจกรรมมนุษย์ที่ส่งผลต่อ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งอาจไม่ได้แค่ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นหรือระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น แต่ยังอาจกำลังปลุก “ยักษ์ใหญ่ทางธรณีวิทยา” ที่หลับใหลให้ตื่นขึ้นมา นี่อาจเป็นเสียงคำรามจากขั้วโลกใต้ เสียงเตือนจาก ทวีปแอนตาร์กติกา ที่ส่งมาถึงพวกเราทุกคนว่า เวลาที่จะลงมือปกป้องโลกใบนี้อย่างจริงจังนั้น…เหลือน้อยลงทุกที
แหล่งที่มาจาก : am2con