รอยร้าวระเบียบโลก สหรัฐฯ คว่ำบาตร ICC ชนวนเหตุหมายจับผู้นำอิสราเอล ฝรั่งเศส-ยุโรปสวนกลับ ปกป้องกระบวนการยุติธรรม

สหรัฐฯ คว่ำบาตร ICC

วอชิงตัน/กรุงเฮก – ความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจและการแสวงหาความยุติธรรมระหว่างประเทศได้ปะทุขึ้นสู่ระดับวิกฤตครั้งใหม่ เมื่อสหรัฐอเมริกาเดินหน้าใช้ “มาตรการคว่ำบาตร” เป็นอาวุธกดดันศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court หรือ ICC) อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อตอบโต้ความพยายามของอัยการในการขอหมายจับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอิสราเอลในข้อหา อาชญากรรมสงคราม การตัดสินใจที่แข็งกร้าวของวอชิงตันไม่เพียงแต่สั่นสะเทือนเสถียรภาพของสถาบันยุติธรรมโลก แต่ยังได้เปิดรอยร้าวที่ลึกและชัดเจนที่สุดครั้งหนึ่งในความสัมพันธ์ข้ามแอตแลนติก เมื่อชาติพันธมิตรหลักอย่างฝรั่งเศส เยอรมนี และสหภาพยุโรป ต่างพร้อมใจกันออกมาวิพากษ์วิจารณ์สหรัฐฯ อย่างหนักหน่วงและประกาศจุดยืนปกป้องความเป็นอิสระของ ICC อย่างเต็มกำลัง ก่อให้เกิดคำถามสำคัญว่า โลกกำลังเดินไปสู่จุดที่กฎหมายระหว่างประเทศต้องยอมจำนนต่อผลประโยชน์ของชาติมหาอำนาจหรือไม่?

US House votes to sanction ICC over Israel-Gaza arrest warrants - BBC News

เจาะลึกชนวนเหตุ จาก “หมายจับเนทันยาฮู” สู่การคว่ำบาตรที่สั่นสะเทือนโลก

จุดเริ่มต้นของวิกฤตการณ์ครั้งนี้ ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2024 เมื่อนาย Karim Khan อัยการสูงสุดของ ศาลอาญาระหว่างประเทศ ได้ยื่นคำร้องต่อองค์คณะผู้พิพากษาเพื่อขออนุมัติหมายจับบุคคลสำคัญ 5 ราย จากทั้งฝ่ายอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ในข้อหาอาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 และการทำสงครามในฉนวนกาซาที่ตามมา

รายชื่อดังกล่าวประกอบด้วย

  • ฝ่ายอิสราเอล นายเบนจามิน เนทันยาฮู (นายกรัฐมนตรี) และนายโยอาฟ กัลลันต์ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม)
  • ฝ่ายฮามาส นายยาห์ยา ซินวาร์, นายอิสมาอิล ฮานีเยห์, และนายโมฮัมเหม็ด เดอิฟ

การตัดสินใจของนาย Khan ที่จะดำเนินคดีกับผู้นำของทั้งสองฝ่ายในเวลาเดียวกัน สร้างแรงกระเพื่อมอย่างรุนแรงไปทั่วโลก แต่ปฏิกิริยาที่รุนแรงที่สุดมาจากสหรัฐอเมริกา พันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของอิสราเอล ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ออกมาประณามการกระทำของ ICC ว่า “น่ารังเกียจ” (outrageous) และยืนยันว่า “ไม่มีความเท่าเทียมกันใดๆ ระหว่างอิสราเอลและฮามาส”

ท่าทีดังกล่าวถูกยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็วในสภาคองเกรส เมื่อสภาผู้แทนราษฎรซึ่งพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก ได้ผ่านร่างกฎหมาย “Illegitimate Court Counteraction Act” ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น เพื่อปูทางให้รัฐบาลสามารถใช้ มาตรการคว่ำบาตร ต่อ เจ้าหน้าที่ ICC ที่มีส่วนร่วมในการสืบสวนหรือดำเนินคดีกับพลเมืองของสหรัฐฯ หรือพันธมิตรได้ คำถามสำคัญที่หลายคนสงสัยคือ สหรัฐฯ คว่ำบาตร ICC เพราะอะไร? เหตุผลหลักที่รัฐบาลสหรัฐฯ และสภาคองเกรสหยิบยกขึ้นมาอ้าง มีดังนี้

  • ปัญหาเขตอำนาจศาล สหรัฐฯ และอิสราเอลไม่ได้เป็นรัฐภาคีของธรรมนูญกรุงโรม ซึ่งเป็นกฎหมายก่อตั้ง ICC ดังนั้นจึงไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลเหนือพลเมืองของตน
  • อธิปไตยของชาติ สหรัฐฯ มองว่าการกระทำของ ICC คือการก้าวล่วงอธิปไตยและระบบยุติธรรมภายในของประเทศประชาธิปไตยอย่างอิสราเอล ซึ่งมีกลไกทางกฎหมายของตนเองในการสืบสวนข้อกล่าวหาต่างๆ
  • ความเท่าเทียมที่ผิดพลาด (False Equivalence) การขอหมายจับผู้นำรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ควบคู่ไปกับผู้นำขององค์กรที่สหรัฐฯ ขึ้นบัญชีเป็นผู้ก่อการร้าย ถือเป็นการสร้างความเท่าเทียมที่ผิดพลาดและยอมรับไม่ได้
  • แรงจูงใจทางการเมือง ฝ่ายการเมืองในสหรัฐฯ จำนวนมากเชื่อว่าการตัดสินใจของอัยการ ICC มีแรงจูงใจทางการเมืองแอบแฝง เพื่อต่อต้านอิสราเอล

จากเหตุผลเหล่านี้ การผลักดันให้เกิดการ สหรัฐฯ คว่ำบาตร ICC จึงกลายเป็นเครื่องมือที่วอชิงตันเลือกใช้เพื่อส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าการกระทำใดๆ ที่กระทบต่อผลประโยชน์ของชาติและพันธมิตรจะถูกตอบโต้อย่างสาสม

House Votes to Impose Sanctions on I.C.C. Officials Over Israel Prosecution  - The New York Times

“การโจมตีหลักนิติธรรม” เสียงสะท้อนจากฝรั่งเศสและพันธมิตรยุโรป

ในขณะที่สหรัฐฯ กำลังระดมสรรพกำลังเพื่อตอบโต้ ICC บรรดาชาติพันธมิตรในยุโรปกลับแสดงท่าทีที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ฝรั่งเศสวิจารณ์สหรัฐฯ อย่างเปิดเผยและหนักแน่นที่สุดชาติหนึ่ง โดยกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสได้ออกแถลงการณ์ย้ำว่า “ฝรั่งเศสสนับสนุนความเป็นอิสระของศาลอาญาระหว่างประเทศ และการต่อสู้กับการไม่ต้องรับผิดในทุกสถานการณ์”

ท่าทีของฝรั่งเศสไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว แต่ยังได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจอื่นๆ ในยุโรป

  • เยอรมนี โฆษกรัฐบาลเยอรมันกล่าวว่า รัฐบาลเคารพความเป็นอิสระของ ICC แต่ในขณะเดียวกันก็วิจารณ์การสร้างความรู้สึกว่ามีการเปรียบเทียบที่เท่าเทียมกันระหว่างผู้นำฮามาสและผู้นำอิสราเอล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงจุดยืนที่ซับซ้อน แต่ก็ยังคงหลักการสนับสนุนสถาบันยุติธรรมระหว่างประเทศไว้
  • สหภาพยุโรป (EU) นายโจเซฟ บอร์เรลล์ ผู้แทนระดับสูงด้านนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงของ EU ได้ประณามความพยายามในการข่มขู่หรือโจมตีศาล และย้ำถึงการสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อความเป็นอิสระของ ICC
  • องค์กรสิทธิมนุษยชน Human Rights Watch และ Amnesty International ได้ออกมาประณามการกระทำของสหรัฐฯ โดยระบุว่าเป็นการขัดขวางกระบวนการยุติธรรมและปกป้องผู้กระทำผิดจากภาระความรับผิดชอบ

ความเห็นที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วนี้ ได้เผยให้เห็นถึงรอยร้าวทางความคิดที่ลึกซึ้งระหว่างสหรัฐฯ และยุโรป ในประเด็น ความยุติธรรมระหว่างประเทศ สำหรับยุโรปแล้ว ICC ซึ่งถือกำเนิดขึ้นจากซากปรักหักพังของสงครามโลกครั้งที่สอง ถือเป็นเสาหลักของระเบียบโลกที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎหมาย (Rules-based Order) การโจมตี ICC จึงเท่ากับการโจมตีระเบียบโลกที่พวกเขาพยายามสร้างและรักษาไว้

ท่าทีของศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ท่ามกลางพายุแรงกดดัน

ท่ามกลางแรงกดดันมหาศาลจากสหรัฐฯ สำนักงานอัยการของ ICC ได้ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อ “ภัยคุกคาม” ที่มีต่อความเป็นอิสระของศาล พร้อมทั้งยืนยันว่าจะเดินหน้าปฏิบัติภารกิจตามอาณัติที่ได้รับมอบหมายจากธรรมนูญกรุงโรมโดยไม่หวั่นไหว

นาย Karim Khan ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อหลายสำนัก โดยเน้นย้ำว่าการตัดสินใจของเขาตั้งอยู่บนหลักฐานที่รวบรวมมาอย่างเป็นกลางและรอบด้าน และหน้าที่ของเขาคือการบังคับใช้กฎหมายกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีตำแหน่งหรือสัญชาติใด “เราต้องแสดงให้เห็นว่ากฎหมายระหว่างประเทศมีผลบังคับใช้กับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย” เขากล่าว

การยืนหยัดของ ICC ท่ามกลางพายุแรงกดดันนี้ ถือเป็นการทดสอบครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของศาล และ ผลกระทบจากการคว่ำบาตรศาลอาญาระหว่างประเทศ อาจไม่ได้หยุดอยู่แค่การทำงานของเจ้าหน้าที่ แต่ยังส่งผลต่อความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพของกลไกยุติธรรมระหว่างประเทศในภาพรวม

US lawmakers vote to sanction ICC officials for issuing Netanyahu warrant |  Middle East Eye

ผลกระทบวงกว้าง เมื่อมหาอำนาจท้าทายความยุติธรรมระหว่างประเทศ

การเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐฯ และ ICC ครั้งนี้ มีนัยสำคัญที่ไกลเกินกว่ากรณีของอิสราเอลและปาเลสไตน์ มันได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อโครงสร้างของระเบียบโลกในหลายมิติ

  • การกัดเซาะบรรทัดฐานระหว่างประเทศ การที่มหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ เลือกที่จะใช้กำลังทางการเมืองและเศรษฐกิจเพื่อแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม อาจเป็นแบบอย่างให้ประเทศอื่นๆ เพิกเฉยต่อกฎหมายระหว่างประเทศเมื่อไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตนเอง
  • ความแตกแยกในกลุ่มพันธมิตรตะวันตก วิกฤตการณ์นี้ได้ตอกย้ำถึงความแตกต่างทางอุดมการณ์ระหว่างสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความร่วมมือในประเด็นอื่นๆ ในอนาคต ตั้งแต่นโยบายต่อรัสเซียไปจนถึงการค้า
  • ความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ในขณะที่รัฐบาลไบเดนพยายามฟื้นฟูภาพลักษณ์ผู้นำโลกเสรีและผู้พิทักษ์ระเบียบโลกที่ตั้งอยู่บนกฎหมาย การกระทำต่อ ICC กลับถูกมองว่าสวนทางกับหลักการที่ประกาศไว้ และอาจทำให้สหรัฐฯ ถูกวิจารณ์เรื่อง “สองมาตรฐาน” (Double Standard) โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ เคยสนับสนุนการทำงานของ ICC ในการออกหมายจับวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย
  • อนาคตของ ICC แม้ว่าการคว่ำบาตรอาจสร้างความยากลำบากในการปฏิบัติงาน แต่ในทางกลับกัน มันอาจช่วยเสริมสร้างความชอบธรรมให้แก่ ICC ในสายตาของหลายประเทศทั่วโลกที่มองว่าศาลกล้าที่จะท้าทายมหาอำนาจ และไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือของชาติตะวันตก

ท่าทีนานาชาติต่อกรณีสหรัฐฯ-ICC นั้นหลากหลาย แต่แนวโน้มที่ชัดเจนคือการแบ่งขั้วระหว่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับอธิปไตยของชาติอย่างสมบูรณ์ กับกลุ่มประเทศที่เชื่อมั่นในความจำเป็นของกลไกยุติธรรมข้ามชาติเพื่อจัดการกับอาชญากรรมที่ร้ายแรงที่สุด

(บทสรุป/Conclusion)

สถานการณ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและศาลอาญาระหว่างประเทศยังคงอยู่ในภาวะตึงเครียดและไม่มีแนวโน้มที่จะคลี่คลายในเร็ววัน การตัดสินใจ สหรัฐฯ คว่ำบาตร ICC ได้ลากเส้นแบ่งที่ชัดเจนบนเวทีโลก และบังคับให้ทุกประเทศต้องเลือกข้างระหว่างการปกป้องพันธมิตรและการรักษาหลักการยุติธรรมสากล สำหรับ ICC แล้ว นี่คือบททดสอบที่ใหญ่หลวงที่สุดต่อความอยู่รอดและความน่าเชื่อถือของสถาบัน หากพวกเขาสามารถยืนหยัดและเดินหน้ากระบวนการทางกฎหมายต่อไปได้ แม้จะปราศจากการสนับสนุนจากมหาอำนาจที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ก็จะเป็นการพิสูจน์ว่าหลักการ “ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย” ยังคงมีความหมายในศตวรรษที่ 21

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากการคว่ำบาตรศาลอาญาระหว่างประเทศ จะยังคงเป็นประเด็นที่ท้าทายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่อไป และเป็นเครื่องเตือนใจว่าการเดินทางของ ความยุติธรรมระหว่างประเทศ นั้นยังเต็มไปด้วยขวากหนามและต้องเผชิญหน้ากับอำนาจทางการเมืองที่พร้อมจะเข้ามาแทรกแซงได้ทุกเมื่อ โลกกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิดว่าบทสรุปของมหากาพย์ครั้งนี้จะลงเอยอย่างไร และจะส่งผลต่ออนาคตของระเบียบโลกไปในทิศทางใด

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *