เสียงวิพากษ์วิจารณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด จากอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง โดยครั้งนี้เขาได้ชี้เป้าไปที่ ประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ ว่าเป็นต้นเหตุของวิกฤตใน ตลาดที่อยู่อาศัย ของสหรัฐฯ พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการ ลดดอกเบี้ย อย่างเร่งด่วน การโจมตีครั้งนี้ไม่ใช่เพียงวาทกรรมทางการเมือง แต่เป็นแรงสั่นสะเทือนที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและทิศทาง นโยบายการเงินสหรัฐ ซึ่งแน่นอนว่าจะสร้างแรงกระเพื่อมมาถึงเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย บทวิเคราะห์นี้จะเจาะลึกถึงเบื้องหลังแรงกดดันครั้งนี้ และประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับตลาดเงินตลาดทุนไทย เพื่อให้เห็นภาพว่าเราควรเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนระลอกใหม่นี้อย่างไร
เปิดฉากปะทะคารม ทรัมป์กล่าวหาอะไรในครั้งนี้?
ในการให้สัมภาษณ์ล่าสุดกับสื่อกระแสหลักและผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของตนเอง โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อการดำเนินนโยบายของ ธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) ภายใต้การนำของเจอโรม พาวเวลล์ โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้
- ชี้เป้าปัญหาตลาดที่อยู่อาศัย ทรัมป์อ้างว่าการที่เฟดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับสูง (ปัจจุบันอยู่ที่ 5.25%-5.50%) เป็นเวลานานเกินไป คือปัจจัยหลักที่ทำให้ต้นทุนสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Mortgage Rates) พุ่งสูงขึ้นจนแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ทศวรรษ สิ่งนี้ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมากไม่สามารถซื้อบ้านหลังแรกได้ และส่งผลให้อุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของ เศรษฐกิจสหรัฐ ต้องชะลอตัวลงอย่างหนัก
- กล่าวหาว่าพาวเวลล์เล่นการเมือง ทรัมป์ยังคงตั้งข้อสังเกตว่า การตัดสินใจของเฟดอาจมีแรงจูงใจทางการเมืองแอบแฝง โดยอาจต้องการชะลอเศรษฐกิจเพื่อสร้างผลกระทบเชิงลบต่อคะแนนนิยมของเขา ก่อนถึง การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่กำลังจะมาถึง
- เรียกร้องให้ลดดอกเบี้ยทันที ข้อสรุปของทรัมป์คือการเรียกร้องอย่างแข็งกร้าวให้เฟด “ทำในสิ่งที่ถูกต้อง” ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 1.00% โดยทันที เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือภาคประชาชน
ความเป็นอิสระของธนาคารกลางบนเส้นด้าย
โดยปกติแล้ว ธนาคารกลางในระบอบประชาธิปไตยจะถูกออกแบบมาให้มีความเป็นอิสระ (Central Bank Independence) จากฝ่ายการเมือง เพื่อให้สามารถตัดสินใจดำเนินนโยบายการเงินโดยยึดหลักการทางเศรษฐศาสตร์และเป้าหมายหลักในการรักษาเสถียรภาพ (เช่น การควบคุม อัตราเงินเฟ้อ และการจ้างงานเต็มศักยภาพ) ได้อย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม การที่ ทรัมป์ วิจารณ์ เฟด อย่างต่อเนื่องและเปิดเผย ถือเป็นการท้าทายหลักการดังกล่าวอย่างซึ่งหน้า และสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC)
- มุมมองของนักวิเคราะห์ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่มองว่า แม้เฟดจะยืนยันในความเป็นอิสระ แต่แรงกดดันทางการเมืองที่รุนแรงอาจส่งผลต่อการตัดสินใจในทางใดทางหนึ่งได้ ไม่ว่าจะเป็นการเร่งหรือชะลอการตัดสินใจเพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหาว่าอยู่ภายใต้อาณัติของฝ่ายการเมือง ซึ่งไม่ว่าจะเลือกทางไหน ก็ล้วนส่งผลเสียต่อความน่าเชื่อถือขององค์กรในระยะยาว
- ท่าทีของเจอโรม พาวเวลล์ ที่ผ่านมา ประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ พยายามสงวนท่าทีและยืนยันอยู่เสมอว่า การตัดสินใจทั้งหมดของเฟดขึ้นอยู่กับข้อมูลทางเศรษฐกิจที่เข้ามา (Data-Dependent) โดยมีเป้าหมายหลักคือการดึงเงินเฟ้อให้กลับสู่กรอบเป้าหมายที่ 2% อย่างยั่งยืน
ผลกระทบระลอกคลื่นสู่ตลาดการเงินโลกและไทย
นโยบายการเงินสหรัฐ เปรียบเสมือน “คลื่น” ลูกใหญ่ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงทิศทางของนโยบายนี้จึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนและผู้กำหนดนโยบายในประเทศต่างๆ รวมถึงไทย ต้องจับตามองอย่างไม่กะพริบตา
- ตลาดหุ้นวอลล์สตรีท และตลาดโลก ความไม่แน่นอนที่เกิดจากแรงกดดันทางการเมือง ทำให้ตลาดเกิดความผันผวนสูง นักลงทุนจะมีความลังเลในการตัดสินใจ หากเฟดตัดสินใจ ลดดอกเบี้ย เร็วกว่าที่คาด อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นในระยะสั้นจากสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้น แต่ในทางกลับกัน หากตลาดยังไม่เชื่อมั่นว่าเงินเฟ้อถูกควบคุมได้แล้ว ก็อาจเกิดความกังวลและเทขายสินทรัพย์เสี่ยงได้
- ค่าเงินดอลลาร์และค่าเงินบาท โดยทั่วไป หากเฟดลดดอกเบี้ยจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นได้ สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้นำเข้าและผู้ที่มีหนี้สินเป็นสกุลเงินดอลลาร์ แต่จะสร้างแรงกดดันต่อผู้ส่งออกของไทยที่อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคา
- การตัดสินใจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทิศทางดอกเบี้ยของเฟดเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ ธปท. ใช้พิจารณาในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย หากเฟดลดดอกเบี้ย อาจเปิด “พื้นที่” ให้ ธปท. สามารถพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยในประเทศได้ง่ายขึ้นหากเศรษฐกิจไทยต้องการการกระตุ้น แต่หากเฟดยังคงดอกเบี้ยสูงต่อไป ธปท. ก็อาจต้องชั่งน้ำหนักระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจกับการรักษาเสถียรภาพค่าเงินและส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย
ดร. พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เคยให้ความเห็นไว้ว่า “สิ่งที่ตลาดกลัวที่สุดไม่ใช่การขึ้นหรือลงของดอกเบี้ย แต่คือความไม่แน่นอน ทุกครั้งที่มีสัญญาณแทรกแซงความเป็นอิสระของธนาคารกลาง มันจะสร้างความผันผวนให้กับตลาดเสมอ เพราะนักลงทุนไม่สามารถคาดการณ์ทิศทางนโยบายตามหลักเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ได้อีกต่อไป”
บทสรุป (Conclusion)
การที่ ทรัมป์ วิจารณ์ เฟด อีกครั้งไม่ใช่แค่พายุในถ้วยชาของการเมืองอเมริกัน แต่เป็นบททดสอบสำคัญของสถาบันทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเป็นสัญญาณเตือนภัยสำหรับตลาดการเงินทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย สถานการณ์ข้างหน้ายังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน นักลงทุนและผู้ประกอบการไทยจึงจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด บริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างรัดกุม และเตรียมพร้อมปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้สอดรับกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่า ประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ จะตัดสินใจอย่างไรภายใต้แรงกดดันมหาศาลนี้ ผลลัพธ์ของการตัดสินใจนั้นจะส่งผลกระทบมาถึง “กระเป๋าเงิน” ของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แหล่งที่มาจาก : am2con