สถานการณ์ในวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงของสหรัฐอเมริกา กำลังทวีความตึงเครียดถึงขีดสุด หลังประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ตัดสินใจเคลื่อนกำลัง ทหารพิทักษ์มาตุภูมิ (National Guard) จากหลายรัฐที่นำโดย ผู้ว่าการรัฐรีพับลิกัน เข้าสู่ใจกลางเมืองหลวง โดยอ้างความจำเป็นในการแก้ไข วิกฤตอาชญากรรม วอชิงตัน ดีซี ที่รุนแรงขึ้น แต่การกระทำดังกล่าวกลับจุดชนวนความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหญ่กับนาง เมอเรียล เบาว์เซอร์ นายกเทศมนตรีกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และถูกมองว่าเป็นการใช้อำนาจของ รัฐบาลกลาง ที่เกินขอบเขต บทวิเคราะห์นี้จะเจาะลึกว่าเหตุการณ์ ทรัมป์ส่งทหารคุมดีซี เป็นเพียงปฏิบัติการเพื่อ “คืนกฎหมายและระเบียบ” หรือแท้จริงแล้วคือฟางเส้นสุดท้ายที่เผยให้เห็นรอยร้าวและความเปราะบางของประชาธิปไตยอเมริกัน
เปิดปฏิบัติการ ‘พิทักษ์เมืองหลวง’ ทรัมป์อ้าง ‘กฎหมายและระเบียบ’ แก้ปัญหาวิกฤตอาชญากรรม
ทำเนียบขาวได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการถึงเหตุผลเบื้องหลังการส่งกำลังทหารพิทักษ์มาตุภูมิจากรัฐต่างๆ เช่น ฟลอริดา, เท็กซัส และเซาท์ดาโคตา เข้ามายังกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยระบุถึงสถิติอาชญากรรมที่น่ากังวลซึ่งเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงปีที่ผ่านมา
- สถิติที่น่าตกใจ ข้อมูลจากกรมตำรวจนครบาลวอชิงตัน ดี.ซี. (MPD) ชี้ว่า อัตราการเกิดเหตุรุนแรง เช่น การฆาตกรรมและการปล้นรถยนต์ (Carjacking) เพิ่มสูงขึ้นกว่า 30% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สร้างความหวาดกลัวและส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและนักท่องเที่ยว
- คำประกาศของทรัมป์ ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวผ่านโซเชียลมีเดียว่า “เราจะไม่ยอมปล่อยให้เมืองหลวงของชาติเราต้องตกอยู่ในความโกลาหลและความไร้ขื่อแป ฝ่ายบริหารของเมืองได้พิสูจน์แล้วว่าไร้ความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลกลางต้องเข้ามาแทรกแซงเพื่อคืนความสงบสุข”
ปฏิบัติการครั้งนี้จึงถูกนำเสนอในฐานะภารกิจเพื่อฟื้นฟู “กฎหมายและระเบียบ” (Law and Order) โดยกำลังพลกว่า 2,000 นายที่ถูกส่งเข้ามา มีหน้าที่หลักในการสนับสนุนการทำงานของตำรวจท้องถิ่น, รักษาความปลอดภัยสถานที่สำคัญของรัฐบาลกลาง และตั้งจุดตรวจในพื้นที่เสี่ยงเพื่อป้องปรามอาชญากรรม ถือเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่ชัดเจนว่าทรัมป์พร้อมใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดในการจัดการปัญหาที่เขาเห็นว่าเป็นความล้มเหลวของฝ่ายบริหารท้องถิ่นที่มาจากพรรคเดโมแครต
เสียงแตกจากฝ่ายบริหารดี.ซี. ‘นี่คือการยึดครอง ไม่ใช่การช่วยเหลือ’
ทันทีที่มีการเคลื่อนกำลังพลเข้ามา นางเมอเรียล เบาว์เซอร์ นายกเทศมนตรีกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้ออกมาตอบโต้อย่างเผ็ดร้อน โดยประณามการกระทำของประธานาธิบดีทรัมป์ว่าเป็นการก้าวล่วงอำนาจอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเป็นการบ่อนทำลายหลักการปกครองตนเองของท้องถิ่น
“นี่ไม่ใช่การช่วยเหลือ แต่มันคือการยึดครอง” นางเบาว์เซอร์กล่าวในงานแถลงข่าวฉุกเฉิน “เราไม่ได้ร้องขอกำลังทหารเหล่านี้ การส่งกองกำลังติดอาวุธเข้ามาเดินตามท้องถนนในเมืองของเราโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ถือเป็นการกระทำที่อันตรายและเป็นการดูหมิ่นชาววอชิงตันทุกคน”
ฝ่ายบริหารของดี.ซี. ยืนยันว่าพวกเขามีแผนและกำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมอยู่แล้ว และมองว่าการเข้ามาของ ทหารพิทักษ์มาตุภูมิ จะยิ่งสร้างความตึงเครียดระหว่างเจ้าหน้าที่และชุมชนท้องถิ่น นอกจากนี้ยังเกิดคำถามถึงความชอบธรรมทางกฎหมาย เนื่องจากวอชิงตัน ดี.ซี. มีสถานะพิเศษที่ไม่ได้เป็นรัฐ ทำให้ประธานาธิบดีมีอำนาจควบคุมกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิของดี.ซี.โดยตรง แต่การนำกองกำลังจาก “รัฐอื่น” เข้ามาโดยผู้ว่าการรัฐเหล่านั้นเป็นผู้ส่งมาตามคำร้องขอของประธานาธิบดี ถือเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและอาจนำไปสู่การฟ้องร้องในชั้นศาลต่อไป
เบื้องหลังความขัดแย้ง การเมืองเรื่องอำนาจและสัญลักษณ์แห่งความแตกแยก
นักวิเคราะห์ การเมืองสหรัฐ ส่วนใหญ่มองว่า เหตุการณ์ ทรัมป์ส่งทหารคุมดีซี มีนัยยะที่ลึกซึ้งกว่าแค่เรื่องอาชญากรรม แต่มันคือภาพสะท้อนของ ความแตกแยกทางการเมือง ที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์อเมริกา
- การแสดงพลังทางการเมือง สำหรับทรัมป์และพรรครีพับลิกัน นี่คือการส่งสาส์นที่ชัดเจนไปยังฐานเสียงของตนเองว่าพวกเขาคือฝ่ายที่ยึดมั่นในความมั่นคงและกฎหมาย ในขณะที่พรรคเดโมแครตถูกวาดภาพให้เป็นพวกที่อ่อนแอและปล่อยปละละเลยให้เกิดอาชญากรรมขึ้นในเมืองที่ตนเองบริหาร
- การท้าทายอำนาจท้องถิ่น การกระทำครั้งนี้เป็นการท้าทายอำนาจของรัฐบาลท้องถิ่นที่นำโดยพรรคเดโมแครตอย่างเปิดเผย และเป็นการตอกย้ำแนวคิด “รัฐบาลกลางที่แข็งแกร่ง” ซึ่งเป็นแนวทางที่ทรัมป์ยึดถือมาโดยตลอด
- ภาพสะท้อนของสังคมที่แบ่งขั้ว การที่ผู้ว่าการรัฐรีพับลิกันพร้อมใจกันส่งทหารของรัฐตนเองเข้ามาสนับสนุนประธานาธิบดี แสดงให้เห็นถึงการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายที่ชัดเจน ประเทศไม่ได้ถูกแบ่งแค่ในระดับประชาชน แต่ยังลามไปถึงระดับโครงสร้างการปกครองของรัฐต่างๆ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่น่ากังวลอย่างยิ่ง
ดร. อแมนดา เพอร์รี ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ให้ความเห็นว่า “เรากำลังเห็นการใช้กองกำลังกึ่งทหารเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สิ่งนี้เบลอเส้นแบ่งระหว่างการรักษากฎหมายของพลเรือนและการปฏิบัติการทางทหาร และได้สร้างบรรทัดฐานที่อันตรายสำหรับอนาคตของประเทศ”
อนาคตที่ไม่แน่นอน นัยยะต่อการเมืองสหรัฐฯ และหลักการประชาธิปไตย
สถานการณ์ในวอชิงตัน ดี.ซี. ตอนนี้ ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การเผชิญหน้าระหว่างกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิกับประชาชนในพื้นที่ที่อาจไม่พอใจ หรือแม้แต่กับตำรวจท้องถิ่นเอง ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นและนำไปสู่ความรุนแรงได้ทุกเมื่อ
ในภาพใหญ่ เหตุการณ์นี้ได้ทิ้งคำถามสำคัญไว้มากมายเกี่ยวกับอนาคตของสหรัฐอเมริกา
- ขอบเขตอำนาจประธานาธิบดี กรณีนี้จะกลายเป็นกรณีศึกษาสำคัญในการตีความรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับขอบเขตอำนาจของประธานาธิบดีในการใช้กองกำลังทหารภายในประเทศ โดยเฉพาะในเขตปกครองพิเศษอย่างดี.ซี.
- ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐ ความไว้วางใจระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น/มลรัฐ ได้ถูกทำลายลง และอาจต้องใช้เวลาอีกนานในการฟื้นฟู
- เสถียรภาพของประชาธิปไตย ภาพของทหารที่ลาดตระเวนในเมืองหลวงของตนเอง สร้างความกังวลให้กับนานาชาติถึงเสถียรภาพของประชาธิปไตยในประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็น “ผู้นำโลกเสรี”
บทสรุป (Conclusion)
ปรากฏการณ์ ทรัมป์ส่งทหารคุมดีซี ได้กลายเป็นมากกว่าแค่หัวข้อข่าว แต่เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของการเมืองอเมริกันสมัยใหม่ มันเผยให้เห็นรอยร้าวลึกของสังคมที่ถูกแบ่งแยกด้วยอุดมการณ์ทางการเมือง จนนำไปสู่การเผชิญหน้ากันด้วยกองกำลังกึ่งทหารในเมืองหลวงของตนเอง แม้ว่าเป้าหมายที่ประกาศไว้คือการปราบปรามอาชญากรรม แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงคือการสั่นคลอนรากฐานของความไว้วางใจและหลักการแบ่งแยกอำนาจที่เป็นหัวใจของระบอบประชาธิปไตย อนาคตของวอชิงตัน ดี.ซี. และทิศทางของการเมืองสหรัฐฯ กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย ท่ามกลางสายตาของคนทั้งโลกที่กำลังจับจ้องว่าวิกฤตการณ์ครั้งนี้จะคลี่คลายไปในทิศทางใด
แหล่งที่มาจาก : am2con