วิเคราะห์ สหรัฐฯ ขึ้นภาษีเหล็ก-อะลูมิเนียม 400 รายการ สะเทือนซัพพลายเชนโลก ผู้ส่งออกไทยเสี่ยงแค่ไหน?

สหรัฐ ขึ้นภาษีเหล็ก

ทำเนียบขาวประกาศใช้มาตรการกำแพงภาษีระลอกใหม่ โดยพุ่งเป้าไปที่การขึ้น ภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม ในสินค้าปลายน้ำกว่า 400 รายการ ภายใต้ มาตรการ Section 232 ซึ่งแม้จะมีเป้าหมายหลักเพื่อสกัดกั้นการหลบเลี่ยงภาษีของสินค้าจากประเทศจีน แต่แรงสั่นสะเทือนครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดความกังวลไปทั่วห่วงโซ่อุปทานโลก หรือ ซัพพลายเชนโลก และส่งสัญญาณเตือนมาถึงผู้ประกอบการไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บทวิเคราะห์เชิงลึกนี้จะเจาะลึกถึงเบื้องหลังของมาตรการดังกล่าว ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ส่งออกไทย และแนวทางการปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายครั้งสำคัญในสมรภูมิ สงครามการค้า สหรัฐ จีน ที่ยังคงไร้วี่แววจะสิ้นสุด

Trump imposes sweeping 25% steel and aluminum tariffs. Canada and Europe  swiftly retaliate | CNN Business

สหรัฐ ขึ้นภาษีเหล็ก เบื้องหลังกำแพงภาษี ทำไมสหรัฐฯ ต้อง ‘ปิดช่องโหว่’ อีกครั้ง?

การตัดสินใจของรัฐบาลสหรัฐฯ ในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นการต่อยอดจากมาตรการ Section 232 ที่บังคับใช้ครั้งแรกในสมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติในการขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก 25% และอะลูมิเนียม 10% อย่างไรก็ตาม ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้ผลิตจากบางประเทศ โดยเฉพาะจีน ได้หาช่องทางหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีดังกล่าว

สำนักงาน ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) พบหลักฐานว่ามีการ หลบเลี่ยงภาษี (Circumvention) อย่างเป็นระบบ โดยการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมราคาถูกจากจีนไปยังประเทศที่สาม (เช่น เม็กซิโก หรือเวียดนาม) เพื่อแปรรูปเป็นสินค้าขั้นปลาย (Downstream Products) เช่น ตะปู ลวด สายเคเบิล หรือแม้กระทั่งชิ้นส่วนยานยนต์บางรายการ แล้วจึงส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพื่อเลี่ยงภาษีนำเข้าวัตถุดิบโดยตรง

การกระทำเช่นนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมภายในสหรัฐฯ ที่ไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้ รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จึงออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อ “อุดรอยรั่ว” โดยขยายขอบเขตการเก็บภาษีให้ครอบคลุมสินค้าปลายน้ำกว่า 400 รายการ เพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ใดๆ ก็ตามที่มีวัตถุดิบหลักเป็นเหล็กและอะลูมิเนียมจากประเทศเป้าหมาย จะต้องเผชิญกับกำแพงภาษีเดียวกัน

ผลกระทบต่อผู้ส่งออกไทย ความเสี่ยงทางตรงและทางอ้อม

แม้ประเทศไทยจะไม่ใช่เป้าหมายหลักของมาตรการนี้ แต่ในฐานะประเทศที่เป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชนโลก ผลกระทบต่อผู้ส่งออกไทย สามารถเกิดขึ้นได้ในหลายมิติ

  • ความเสี่ยงทางอ้อม (Indirect Risk)
  • การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น เมื่อสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากจีนและประเทศอื่นๆ ที่เคยส่งไปสหรัฐฯ ถูกกีดกันด้วยภาษี สินค้าเหล่านี้จะทะลักเข้ามาหาตลาดใหม่ในภูมิภาคอื่น รวมถึงอาเซียนและประเทศไทย ส่งผลให้เกิดภาวะสินค้าล้นตลาด (Oversupply) และสงครามราคาที่รุนแรงขึ้น ผู้ผลิตเหล็กและสินค้าที่เกี่ยวเนื่องของไทยจะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่หนักหน่วงกว่าเดิมในตลาดบ้านตัวเอง
  • ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษีอาจส่งผลให้ราคาเหล็กและอะลูมิเนียมในตลาดโลกเกิดความผันผวน ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนการผลิตของอุตสาหกรรมต่อเนื่องในไทย เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ และการก่อสร้าง
  • ความเสี่ยงทางตรง (Direct Risk)
  • การตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าที่เข้มงวด ผู้ส่งออกไทยที่ผลิตสินค้าใน 400 รายการดังกล่าวและส่งไปยังสหรัฐฯ จะต้องเผชิญกับการตรวจสอบแหล่งกำเนิดของวัตถุดิบ (Rules of Origin) ที่เข้มงวดอย่างยิ่งยวด หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเหล็กหรืออะลูมิเนียมที่ใช้ไม่ได้มาจากประเทศที่ถูกขึ้นภาษี ก็อาจถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราสูงได้เช่นกัน ซึ่งจะสร้างภาระด้านเอกสารและเพิ่มความซับซ้อนในการดำเนินธุรกิจ
  • ผลกระทบต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ที่สำคัญไปยังตลาดโลก รวมถึงสหรัฐฯ ชิ้นส่วนบางรายการที่ใช้เหล็กและอะลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบหลัก อาจเข้าข่ายถูกตรวจสอบและอาจถูกเก็บภาษีเพิ่ม ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตไทยลดลง

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้แสดงความกังวลว่า “มาตรการของสหรัฐฯ แม้จะมุ่งเป้าไปที่จีน แต่จะสร้างแรงกระเพื่อมมาถึงผู้ผลิตในไทยอย่างแน่นอน สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือการแข่งขันในประเทศที่จะรุนแรงขึ้นจากสินค้าที่หาทางระบายออกจากตลาดสหรัฐฯ ภาคเอกชนและ กระทรวงพาณิชย์ ต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อหามาตรการป้องกันและช่วยเหลือผู้ประกอบการ”

Trump raises tariffs on aluminum, steel imports in latest trade war salvo |  Reuters

แนวทางรับมือและความท้าทายของอุตสาหกรรมไทย

ท่ามกลางสมรภูมิการค้าที่ร้อนระอุ ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วนเพื่อความอยู่รอด นี่คือแนวทางและความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า

  • การทวนสอบซัพพลายเชน (Supply Chain Verification)
  • ความท้าทาย การตรวจสอบย้อนกลับไปยังแหล่งกำเนิดของวัตถุดิบทั้งหมดเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
  • แนวทางรับมือ สร้างระบบการจัดเก็บข้อมูลและเอกสารที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ อาจต้องพิจารณาเปลี่ยนไปใช้ซัพพลายเออร์วัตถุดิบจากแหล่งที่ไม่ใช่เป้าหมายของมาตรการสหรัฐฯ เพื่อลดความเสี่ยง
  • การกระจายตลาดส่งออก (Market Diversification)
  • ความท้าทาย การเจาะตลาดใหม่ต้องใช้เวลา ทรัพยากร และความเข้าใจในกฎระเบียบของแต่ละประเทศ
  • แนวทางรับมือ ลดการพึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ เพียงแห่งเดียว โดยมองหาโอกาสในตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น กลุ่มประเทศในความตกลง RCEP, ตะวันออกกลาง หรือแอฟริกา ซึ่งเป็นแนวทางที่ กระทรวงพาณิชย์ พยายามส่งเสริมมาโดยตลอด
  • การยกระดับคุณภาพและนวัตกรรม
  • ความท้าทาย ต้องใช้เงินลงทุนในการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
  • แนวทางรับมือ เปลี่ยนจากการแข่งขันด้านราคาไปสู่การแข่งขันด้านคุณภาพและนวัตกรรม ผลิตสินค้าเหล็กเกรดพิเศษ หรือผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Aluminum) เพื่อสร้างความแตกต่างและตอบสนองต่อความต้องการของตลาดเฉพาะกลุ่ม

Trump doubles steel tariffs to 50% in 'major announcement' | CNN Business

บทสรุป (Conclusion)

การที่ สหรัฐ ขึ้นภาษีเหล็ก และอะลูมิเนียมกว่า 400 รายการในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่า สงครามการค้า สหรัฐ จีน ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง แม้ผู้ส่งออกไทยจะไม่ใช่เป้าหมายโดยตรง แต่ก็ตกอยู่ในรัศมีของแรงระเบิดอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ความท้าทายในวันนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่าจะได้รับผลกระทบหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าจะปรับตัวเพื่อลดความเสี่ยงและแสวงหาโอกาสใหม่จากวิกฤตครั้งนี้ได้อย่างไร การทวนสอบซัพพลายเชนอย่างเข้มข้น การกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดใหม่ และการมุ่งเน้นนวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมไทยสามารถยืนหยัดและเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน ท่ามกลางภูมิทัศน์การค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *