เมื่อกระทรวงพาณิชย์จีน (MOFCOM) ประกาศขยายระยะเวลาการสอบสวนการทุ่มตลาด (Anti-dumping) ต่อผลิตภัณฑ์นมที่นำเข้าจากสหภาพยุโรป (EU) ออกไปอีก 6 เดือน ท่าทีดังกล่าวอาจดูเหมือนเป็นเพียงข้อพิพาททางการค้าในระดับจุลภาค แต่สำหรับผู้ที่ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกแล้ว นี่คือสัญญาณเตือนภัยที่ดังกระหึ่ม เป็นการยิงกระสุนนัดล่าสุดในสมรภูมิ สงครามการค้าจีน-EU ที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ การสอบสวนเรื่อง “นม” ไม่ใช่เรื่องของนมอีกต่อไป แต่เป็นหมากตัวสำคัญที่จีนใช้เพื่อตอบโต้แรงกดดันมหาศาลจากกรณีที่ EU เตรียมจะเรียกเก็บ ภาษีรถ EV จีน บทความนี้จะเจาะลึกเบื้องหลังเกมการค้าที่ซับซ้อนนี้ วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเป็นโดมิโน และที่สำคัญที่สุดคือการตั้งคำถามว่า ท่ามกลางการต่อสู้ของสองยักษ์ใหญ่ ประเทศไทยซึ่งเป็นผู้เล่นสำคัญใน ห่วงโซ่อุปทานโลก ควรจะวางตำแหน่งตัวเองอยู่ตรงไหนในสนามรบครั้งนี้
จุดเริ่มต้น เมื่อ ‘นม’ ไม่ใช่แค่ ‘นม’ แต่คือ ‘อาวุธ’ ทางการค้า
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2568 โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนได้แถลงข่าวการขยายเวลาการสอบสวนการอุดหนุน (Anti-subsidy) และ การทุ่มตลาด สำหรับผลิตภัณฑ์นมบางรายการจาก EU เช่น นมผงและเวย์โปรตีน ซึ่งเดิมทีการสอบสวนนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อต้นปีและใกล้จะครบกำหนด โดยให้เหตุผลว่าคดีมีความซับซ้อนและจำเป็นต้องใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม
หากมองเพียงผิวเผิน นี่คือกระบวนการปกติเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมนมในประเทศของจีนซึ่งมีมูลค่ามหาศาล แต่เมื่อพิจารณาถึงช่วงเวลาและบริบทของ ความสัมพันธ์จีน-สหภาพยุโรป ในปัจจุบัน การกระทำดังกล่าวมีความหมายมากกว่านั้นมาก
- ใคร MOFCOM (จีน) เป็นผู้ดำเนินการสอบสวน
- ทำอะไร ขยายเวลาสอบสวนการทุ่มตลาดและการอุดหนุนสินค้านมจาก EU
- เมื่อไหร่ ประกาศเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2568
- ที่ไหน การสอบสวนเกิดขึ้นในประเทศจีน แต่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ส่งออกจาก EU
- ทำไม เหตุผลอย่างเป็นทางการคือเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ แต่เหตุผลที่แท้จริงคือเพื่อเป็นเครื่องมือต่อรองและตอบโต้ทางการค้า
- อย่างไร การยืดเวลาสร้างความไม่แน่นอนให้กับผู้ส่งออก EU ซึ่งต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่จะถูกเก็บภาษีสูงขึ้นในอนาคต ประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือ ไอร์แลนด์, เนเธอร์แลนด์, ฝรั่งเศส, และเยอรมนี ซึ่งเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์นมรายใหญ่มายังจีน
สาเหตุที่จีนสอบสวนนมจาก EU คืออะไร คำตอบที่แท้จริงไม่ได้อยู่ในฟาร์มโคนมของยุโรป แต่อยู่ในโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ทันสมัยในจีน
เบื้องลึกเบื้องหลัง การตอบโต้กรณี ‘ภาษีรถ EV จีน’ ที่ยุโรปเป็นผู้จุดชนวน
ชนวนเหตุของความตึงเครียดรอบล่าสุดนี้ ต้องย้อนกลับไปเมื่อปลายปี 2567 เมื่อ European Commission ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารของ EU ได้เปิดการสอบสวนการอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้าจากจีน โดยให้เหตุผลว่ารัฐบาลจีนให้เงินอุดหนุนผู้ผลิตอย่างมหาศาล ทำให้สามารถขายรถ EV ในตลาดยุโรปได้ในราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมและกำลังทำลายอุตสาหกรรมรถยนต์ของยุโรป
การสอบสวนของ EU ใกล้จะได้ข้อสรุปในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และคาดการณ์กันอย่างกว้างขวางว่า EU จะกำหนดอัตราภาษีนำเข้าเพิ่มเติม (Countervailing Duties) สำหรับรถ EV จากจีน ซึ่งอาจสูงถึง 15-30% จากปัจจุบันที่เก็บอยู่ที่ 10%
แน่นอนว่าท่าทีของ EU สร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงให้กับรัฐบาลจีน ซึ่งมองว่านี่เป็น “การกีดกันทางการค้า” (Protectionism) ที่ชัดเจน จีนได้ออกมาเตือนหลายครั้งว่าหาก EU เดินหน้าเก็บภาษี จีนก็พร้อมที่จะใช้มาตรการตอบโต้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง
ดังนั้น การ จีนสอบสวนสินค้านม EU จึงถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณเตือนครั้งสำคัญ เป็น “การยิงปืนขู่” เพื่อแสดงให้ EU เห็นว่าจีนมีไพ่ในมือที่จะสร้างความเจ็บปวดให้กับภาคเกษตรกรรมซึ่งเป็นกลุ่มผลประโยชน์ที่ทรงอิทธิพลอย่างสูงในยุโรปได้เช่นกัน
สมรภูมิที่ขยายตัว สินค้าอะไรบ้างที่ตกเป็น ‘ตัวประกัน’ ทางการค้า?
ผลิตภัณฑ์นมไม่ใช่สินค้าชนิดเดียวที่ตกอยู่ในสมรภูมิ สงครามการค้าจีน-EU ก่อนหน้านี้ จีนได้เปิดการสอบสวนการทุ่มตลาดต่อ “บรั่นดี” ที่นำเข้าจาก EU ซึ่งถูกมองว่าเป็นการพุ่งเป้าไปที่ฝรั่งเศสโดยตรง เนื่องจากฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในประเทศที่สนับสนุนการสอบสวนรถ EV จีนอย่างแข็งขันที่สุด
รายการสินค้า “ตัวประกัน” อื่นๆ ที่อาจถูกนำมาใช้ในอนาคต ได้แก่
- สินค้าเกษตรและอาหาร เนื้อหมู, ไวน์, และสินค้าฟุ่มเฟือยอื่นๆ
- เครื่องจักรกลและเทคโนโลยี สินค้าที่จีนสามารถผลิตทดแทนเองได้
- ภาคบริการ การจำกัดการเข้าถึงตลาดของบริษัทในยุโรป
การเลือกเป้าหมายของจีนนั้นมีกลยุทธ์อย่างยิ่ง โดยมักจะเลือกสินค้าที่
- สร้างความเจ็บปวดทางการเมือง กระทบต่อฐานเสียงสำคัญของนักการเมืองในประเทศเป้าหมาย (เช่น เกษตรกร)
- มีแหล่งนำเข้าทดแทน จีนสามารถหันไปนำเข้าจากประเทศอื่นได้ เช่น นิวซีแลนด์ หรือ ออสเตรเลีย สำหรับผลิตภัณฑ์นม
- ไม่กระทบต่ออุตสาหกรรมไฮเทคของจีน หลีกเลี่ยงการตอบโต้ในสินค้าที่จีนยังต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากยุโรป
ผลกระทบระลอกสอง ‘สงครามการค้าจีน-EU กระทบไทยอย่างไร?’
แม้สมรภูมิหลักจะอยู่ที่ปักกิ่งและบรัสเซลส์ แต่แรงสั่นสะเทือนย่อมส่งมาถึงประเทศที่พึ่งพาการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศอย่างไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผลกระทบการค้าไทย สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 มิติหลัก
ด้านการส่งออก โอกาสในวิกฤต หรือความเสี่ยงที่มองไม่เห็น?
- โอกาส (Substitution Effect) หากจีนขึ้นภาษีสินค้านมจาก EU จริง อาจเปิดโอกาสให้ผู้ส่งออกนมและผลิตภัณฑ์นมของไทย (แม้จะยังมีปริมาณไม่มาก) หรือสินค้าเกษตรอื่นๆ สามารถเข้าไปเจาะตลาดจีนเพื่อทดแทนสินค้าจากยุโรปได้ ในทางกลับกัน หาก EU ขึ้นภาษีรถ EV จากจีน ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยที่ส่งออกไปจีนอาจได้รับผลกระทบ แต่ก็อาจมีโอกาสในการส่งออกชิ้นส่วนไปยังโรงงานผลิตรถยนต์ในยุโรปมากขึ้น
- ความเสี่ยง (Trade Diversion) สินค้าจากจีนและ EU ที่ไม่สามารถส่งออกไปยังคู่ขัดแย้งได้ อาจถูกส่งมา “ทุ่มตลาด” ในตลาดที่สามอย่างอาเซียนและประเทศไทยแทน ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ผลิตในประเทศ
ด้านการลงทุน สมรภูมิดึงดูดเม็ดเงิน FDI
ความขัดแย้งทางการค้านี้เป็นตัวเร่งให้เกิดการย้ายฐานการผลิตเพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษี (Tariff Circumvention) บริษัทจีนที่ต้องการเข้าตลาดยุโรป อาจมองหาฐานการผลิตใหม่ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งไทยถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้นๆ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ นี่คือโอกาสครั้งสำคัญของไทยในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากเวียดนามและมาเลเซีย
ด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความท้าทายในการวางตัวเป็นกลาง
ไทยควรปรับตัวอย่างไรในสงครามการค้า นี่คือคำถามที่ท้าทายที่สุด การวางตัวเป็นกลางและคบค้ากับทุกฝ่ายเป็นนโยบายที่ดี แต่ในยามที่โลกแบ่งขั้วชัดเจนขึ้น การ “เลือกข้าง” อย่างเงียบๆ อาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไทยต้องเผชิญแรงกดดันทั้งจากจีน (คู่ค้ารายใหญ่ที่สุด) และจากกลุ่มชาติตะวันตก (EU และ สหรัฐฯ) การดำเนินนโยบายต่างประเทศที่สมดุลและชาญฉลาดจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด
มุมมองนักวิเคราะห์ อนาคตการค้าโลกและทางรอดของไทย
ดร. วิมล ปัญญาธร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจากสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจ ให้ทัศนะว่า “ปรากฏการณ์นี้ตอกย้ำว่ายุคการค้าเสรีแบบไร้พรมแดนกำลังสิ้นสุดลง และโลกกำลังเข้าสู่ยุคของการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่ใช้เศรษฐกิจเป็นอาวุธ คำถามที่ว่า อนาคตการค้าโลกจะเป็นอย่างไร คำตอบคือมันจะถูกแบ่งเป็นบล็อกมากขึ้น มีกฎเกณฑ์ที่ซับซ้อนและผูกโยงกับเรื่องความมั่นคงมากขึ้น”
สำหรับประเทศไทย ดร. วิมล แนะนำ 3 กลยุทธ์หลัก
- กระจายความเสี่ยง (Diversification) ลดการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป เร่งเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับตลาดใหม่ๆ เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกา และลาตินอเมริกา
- ยกระดับตัวเองในห่วงโซ่อุปทาน (Moving Up the Value Chain) เปลี่ยนจากการเป็นผู้รับจ้างผลิต (OEM) ไปสู่การสร้างแบรนด์และเทคโนโลยีของตัวเอง เพื่อลดการพึ่งพาและเพิ่มอำนาจต่อรอง
- การทูตเชิงรุก (Proactive Diplomacy) ใช้เวทีอาเซียนเป็นกลไกในการสร้างอำนาจต่อรองร่วมกัน และดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ยืดหยุ่นเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง
(Conclusion) บทสรุป เมื่อช้างสารชนกัน หญ้าแพรกต้องปรับตัว
การที่ จีนขยายเวลาสอบสวนสินค้านม EU เป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งแห่ง สงครามการค้าจีน-EU ที่ซ่อนปัญหาความขัดแย้งเชิงโครงสร้างและอุดมการณ์เอาไว้เบื้องล่าง โลกกำลังเฝ้าดูว่าสองยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจจะสามารถหาทางเจรจาเพื่อลดความตึงเครียดได้หรือไม่ หรือจะเลือกเดินหน้าเข้าสู่สงครามการค้าเต็มรูปแบบที่จะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม
สำหรับประเทศไทยแล้ว เหตุการณ์นี้คือ Wake-up Call ครั้งสำคัญ เราไม่สามารถเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ได้อีกต่อไป แต่ต้องเป็นผู้เล่นที่ตื่นตัวและพร้อมปรับกลยุทธ์อยู่เสมอ การทำความเข้าใจความเชื่อมโยงของเหตุการณ์ ตั้งแต่เรื่อง “นม” ในปักกิ่ง ไปจนถึง “รถ EV” ในบรัสเซลส์ คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เรามองเห็นทั้งความเสี่ยงและโอกาส เพื่อนำพาเศรษฐกิจของประเทศให้รอดพ้นจากแรงปะทะของพายุภูมิรัฐศาสตร์ลูกนี้ไปได้
แหล่งที่มาจาก : am2con