คำเชิญจากพญามังกรให้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีสวนสนามครั้งยิ่งใหญ่ ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน ไม่ใช่แค่บัตรเชิญธรรมดา แต่คือ “หมากการทูต” ที่จีนใช้เพื่อวัดใจมิตรประเทศ และสำหรับชาติสมาชิกอาเซียน มันได้กลายเป็นบททดสอบทางภูมิรัฐศาสตร์ครั้งสำคัญที่สั่นสะเทือนไปทั้งภูมิภาค การตัดสินใจของผู้นำอาเซียนว่าจะ “ไป” หรือ “ไม่ไป” หรือ “จะส่งใครไป” ล้วนเป็นการส่งสัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ที่สะท้อนถึงการถ่วงดุลอำนาจอันเปราะบาง ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา และสำหรับประเทศไทย นี่คือบทพิสูจน์ครั้งสำคัญของนโยบายต่างประเทศแบบ “ไผ่ลู่ลม” ที่เดิมพันด้วยผลประโยชน์ของชาติ
เมื่อสารจากปักกิ่งถูกส่งถึงเมืองหลวงของ 10 ชาติอาเซียน เชิญผู้นำเข้าร่วมพิธี สวนสนามจีน ที่กำลังจะมาถึงในเดือนหน้า บรรยากาศทางการทูตในภูมิภาคก็พลันเปลี่ยนไป คำเชิญครั้งนี้เป็นมากกว่าธรรมเนียมปฏิบัติ แต่คือเวทีที่จีนใช้แสดงแสนยานุภาพและสำรวจจุดยืนของพันธมิตร ปฏิกิริยาที่แตกต่างกันของเหล่า ผู้นำอาเซียน ได้เผยให้เห็นรอยปริแยกและความซับซ้อนภายในกลุ่มอย่างชัดเจน บทความนี้จะเจาะลึกถึงเบื้องหลังการตัดสินใจที่น่าจับตามองนี้ พร้อมวิเคราะห์ว่าเหตุใด ความสัมพันธ์อาเซียน-จีน ถึงมาถึงจุดที่ต้องวัดใจกันบนเวทีแสดงแสนยานุภาพ และที่สำคัญที่สุด นโยบายต่างประเทศของไทย จะต้องเผชิญกับความท้าทายอะไรบ้างในสนามประลองเชิงสัญลักษณ์ครั้งนี้
ปักกิ่งร่อนสาร นัยยะเบื้องหลังคำเชิญร่วมพิธีสวนสนามครั้งประวัติศาสตร์
สวนสนามจีน 2025 มีความสําคัญอย่างไร? คำตอบนั้นซับซ้อนกว่าแค่การเฉลิมฉลองวาระครบรอบทางประวัติศาสตร์ ในยุคของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง พิธีสวนสนามได้ถูกยกระดับให้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ที่ทรงพลัง โดยมีเป้าหมายหลายประการ
- แสดงแสนยานุภาพทางทหาร เป็นการเปิดตัวเทคโนโลยีและยุทโธปกรณ์ที่ล้ำสมัยที่สุดของ กองทัพปลดแอกประชาชนจีน (PLA) เพื่อส่งสัญญาณไปยังคู่แข่ง โดยเฉพาะ สหรัฐอเมริกา และพันธมิตร ว่าจีนมีศักยภาพในการปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง
- เสริมสร้างความชอบธรรมภายในประเทศ การแสดงความยิ่งใหญ่ทางทหารช่วยปลุกกระแสความรักชาติและสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีน
- สร้างภาพลักษณ์ผู้นำระดับโลก การมีผู้นำจากนานาชาติมายืนเคียงข้างประธานาธิบดีสี จิ้นผิง บนเวที เป็นการประกาศเชิงสัญลักษณ์ว่าจีนไม่ได้ถูกโดดเดี่ยว และมีอิทธิพลทางการทูตที่แข็งแกร่ง
ดังนั้น การเข้าร่วมของ ผู้นำอาเซียน จึงมีความหมายอย่างยิ่งยวดสำหรับจีน มันไม่ใช่แค่การให้เกียรติ แต่คือการยอมรับบทบาทของจีนในฐานะมหาอำนาจในภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม
คำถามที่ตามมาคือ ทําไมอาเซียนถึงสําคัญกับจีน? เพราะอาเซียนตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เป็นศูนย์กลางของเส้นทางการค้าโลก และเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพ จีนต้องการอาเซียนที่ “เป็นมิตร” หรืออย่างน้อย “เป็นกลาง” เพื่อคานอำนาจของสหรัฐฯ และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านโครงการ Belt and Road Initiative (BRI)
ความสัมพันธ์อาเซียน-จีน เสียงตอบรับที่แตกต่าง อาเซียน ‘เสียงแตก’ ต่อคำเชิญของมังกร
การตัดสินใจของแต่ละชาติสมาชิกอาเซียนสะท้อนให้เห็นถึงสมการผลประโยชน์และความกังวลที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำให้เกิดการแบ่งกลุ่มอย่างไม่เป็นทางการ
กลุ่มหนุนเต็มตัว กัมพูชา-ลาว และมิตรภาพที่แน่นแฟ้น
หนึ่งในคำถามที่ค้นหากันบ่อยคือ ประเทศไหนในอาเซียนที่สนับสนุนจีน? คำตอบที่ชัดเจนที่สุดคือ กัมพูชาและลาว ทั้งสองประเทศพึ่งพิงการลงทุนและความช่วยเหลือจากจีนอย่างสูง และไม่มีข้อพิพาทโดยตรงในประเด็น ทะเลจีนใต้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้นำของทั้งสองชาติจะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ส่งสัญญาณตอบรับคำเชิญอย่างอบอุ่น การเข้าร่วมของพวกเขาคือการตอกย้ำความสัมพันธ์ “ฉันมิตร” ที่แน่นแฟ้น และเป็นการขอบคุณจีนสำหรับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ได้รับ
กลุ่มระมัดระวัง ฟิลิปปินส์-เวียดนาม กับปัญหาทะเลจีนใต้ที่ค้างคา
สำหรับฟิลิปปินส์และเวียดนาม ซึ่งมีข้อพิพาทเรื่องการอ้างสิทธิ์เหนือน่านน้ำในทะเลจีนใต้กับปักกิ่งอย่างดุเดือด การตัดสินใจเป็นเรื่องที่ลำบากใจอย่างยิ่ง การส่งผู้นำสูงสุดไปร่วมพิธีสวนสนามที่อาจมีการแสดงแสนยานุภาพทางทะเลที่ใช้คุกคามพวกเขานั้น เป็นภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกทางการเมืองภายในประเทศอย่างรุนแรง
ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ทั้งสองชาติจะเลือกส่งตัวแทนในระดับที่ต่ำกว่าผู้นำประเทศ เช่น รัฐมนตรีกลาโหม หรือทูตทหาร เพื่อรักษาสัมพันธ์ทางการทูต แต่ก็ไม่ใช่การ “ยอมรับ” อิทธิพลของจีนอย่างเต็มตัว
กลุ่มนักยุทธศาสตร์ สิงคโปร์-อินโดนีเซีย-มาเลเซีย กับการเดินหมากอย่างสุขุม
ชาติอย่างสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ขึ้นชื่อเรื่องการทูตที่สุขุมและเน้นการรักษาสมดุล พวกเขามีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ลึกซึ้งกับจีน แต่ในขณะเดียวกันก็มีความร่วมมือด้านความมั่นคงกับ สหรัฐอเมริกา และชาติอื่นๆ ชาติเหล่านี้มักจะประเมินสถานการณ์อย่างรอบด้านและเลือกแนวทางที่สร้างผลกระทบเชิงลบให้น้อยที่สุด การตัดสินใจของพวกเขาอาจเป็นการส่งผู้แทนระดับสูง แต่ก็อาจจะไม่ใช่ผู้นำสูงสุด เพื่อส่งสัญญาณของ “การให้เกียรติแต่ไม่เอนเอียง”
บททดสอบนโยบายต่างประเทศของไทย ไผ่ลู่ลมจะเอนไปทางไหน?
สำหรับประเทศไทย สถานการณ์นี้นับเป็นบททดสอบครั้งสำคัญของ นโยบายต่างประเทศของไทย ที่ยึดถือแนวทาง “การทูตแบบไผ่ลู่ลม” (Bamboo bending in the wind diplomacy) มาอย่างยาวนาน ซึ่งหมายถึงความสามารถในการปรับตัวและรักษาความสัมพันธ์อันดีกับมหาอำนาจทุกฝ่ายโดยไม่เลือกข้างอย่างชัดเจน
ท่าทีของไทยต่อจีนล่าสุด เป็นการดำเนินความสัมพันธ์แบบ “หุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน” ซึ่งเน้นความร่วมมือทางเศรษฐกิจเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม การเข้าร่วมพิธีสวนสนามทางทหารเป็นเรื่องที่มีนัยยะด้านความมั่นคงที่ละเอียดอ่อนกว่ามาก
ปัจจัยที่รัฐบาลไทยต้องพิจารณา
- ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ จีนคือคู่ค้าอันดับหนึ่งและเป็นแหล่งนักท่องเที่ยวที่สำคัญ การรักษาสัมพันธ์อันดีจึงจำเป็นอย่างยิ่งต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
- ความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ สหรัฐฯ คือพันธมิตรด้านความมั่นคงที่เก่าแก่ของไทย การแสดงท่าทีที่ใกล้ชิดกับจีนมากเกินไป อาจสร้างความไม่พอใจให้กับวอชิงตัน
- ภาพลักษณ์ในอาเซียน ท่าทีของไทยจะถูกจับตามองโดยชาติสมาชิกอื่นๆ การตัดสินใจที่แตกต่างจากกระแสหลักของอาเซียนอาจทำให้ไทยดูโดดเดี่ยว
- ความรู้สึกของประชาชน ประเด็นความสัมพันธ์กับจีนเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนในสังคมไทย การตัดสินใจของรัฐบาลจะต้องสามารถอธิบายต่อสาธารณชนได้
ดังนั้น การตัดสินใจของไทยจึงมีแนวโน้มที่จะเป็นไปในทางสายกลาง เช่น การส่งผู้แทนระดับสูงอย่างรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไปร่วมงาน ซึ่งจะเป็นการให้เกียรติรัฐบาลจีน แต่ก็ยังเว้นระยะห่างทางการเมืองไว้ ไม่ใช่การแสดงจุดยืนร่วมกับจีนอย่างเต็มตัว
บทสรุป รายชื่อผู้ร่วมงานคือแผนที่ภูมิรัฐศาสตร์ฉบับใหม่
ท้ายที่สุดแล้ว รายชื่อของ ผู้นำอาเซียน และผู้แทนที่จะปรากฏกายในพิธี สวนสนามจีน เดือนหน้า จะเป็นมากกว่าแค่บันทึกการเข้าร่วมงานทางการทูต แต่มันจะกลายเป็น “แผนที่ภูมิรัฐศาสตร์” ฉบับล่าสุด ที่ฉายภาพให้เห็นถึงเครือข่ายอิทธิพล การแบ่งขั้ว และกลยุทธ์การเอาตัวรอดของชาติต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างชัดเจนที่สุด
สำหรับอาเซียน นี่คือเครื่องย้ำเตือนถึงความท้าทายในการรักษาความเป็นเอกภาพท่ามกลางแรงกดดันจากมหาอำนาจ และสำหรับประเทศไทย นี่คืออีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่า การเป็น “ไผ่ลู่ลม” ในยุคที่ลมพายุแห่งการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจพัดแรงขึ้นทุกขณะนั้น ต้องอาศัยทั้งความแข็งแกร่ง ความยืดหยุ่น และสติปัญญาในการประคองตัวให้อยู่รอดและก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
แหล่งที่มาจาก : am2con