ผู้โดยสารและลูกเรือบนเที่ยวบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ จากกรุงเทพฯ ถึงกับงุนงง เมื่อเครื่องบินแอร์บัส A330 แตะรันเวย์ที่สนามบินแห่งหนึ่งในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ก่อนจะพบความจริงสุดช็อกว่านี่ไม่ใช่ท่าอากาศยานนานาชาติอินชอนที่เป็นจุดหมายปลายทางที่ถูกต้อง… เหตุการณ์ “แอร์เอเชียลงจอดผิดสนามบิน” ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในยุคการบินสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ได้จุดประกายคำถามสำคัญถึงมาตรฐาน “ความปลอดภัยการบิน” และเปิดฉากการสอบสวนครั้งใหญ่โดยทางการเกาหลีใต้ เพื่อค้นหาว่าเกิดข้อผิดพลาดขึ้นที่จุดไหนในระบบที่ได้ชื่อว่าปลอดภัยที่สุดในโลก
สรุปเหตุการณ์ เกิดอะไรขึ้นบนเที่ยวบิน XJ700?
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 15 สิงหาคม 2568 โดยมีรายละเอียดดังนี้
- เที่ยวบิน ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ (Thai AirAsia X) เที่ยวบินที่ XJ700
- เส้นทาง เดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (BKK) กรุงเทพฯ ประเทศไทย
- จุดหมายปลายทางที่ถูกต้อง ท่าอากาศยานนานาชาติอินชอน (ICN) กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้
- สถานที่ลงจอดจริง ท่าอากาศยานนานาชาติกิมโป (GMP) กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้
- อากาศยาน แอร์บัส A330-300
- ผู้โดยสารและลูกเรือ รวมประมาณ 300 คน
หลังจากเครื่องบินลงจอดที่สนามบินกิมโปโดยสวัสดิภาพ ผู้โดยสารเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติเมื่อทิวทัศน์และอาคารผู้โดยสารไม่ตรงกับภาพของสนามบินอินชอนที่คุ้นเคย ก่อนที่นักบินจะประกาศแจ้งให้ทราบถึงข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น สร้างความสับสนและคำถามมากมายให้กับผู้ที่อยู่บนเครื่องบิน
ท่าอากาศยานอินชอน (ICN) และ กิมโป (GMP) แตกต่างกันอย่างไร?
- อินชอน (ICN) เป็นสนามบินหลักและใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ รองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ อยู่ห่างจากใจกลางกรุงโซลไปทางตะวันตกประมาณ 48 กิโลเมตร
- กิมโป (GMP) เป็นสนามบินที่เก่าแก่กว่า อยู่ใกล้ใจกลางกรุงโซลมากกว่า (ประมาณ 15 กิโลเมตร) ปัจจุบันรองรับเที่ยวบินในประเทศเป็นหลัก และมีเที่ยวบินระหว่างประเทศระยะสั้นบางเส้นทาง
แม้ว่าสนามบินทั้งสองแห่งจะอยู่ในเมืองเดียวกัน แต่ก็ถือเป็นคนละแห่งโดยสิ้นเชิง การลงจอดผิดพลาดจึงถือเป็นอุบัติการณ์ทางการบินที่ร้ายแรง (Serious Incident)
ปริศนาการบิน เครื่องบินมูลค่าหลายพันล้านจะลงผิดที่ได้อย่างไร?
คำถามที่ทุกคนสงสัยคือ เครื่องบินลงจอดผิดสนามบินเกิดขึ้นได้อย่างไร ในยุคที่มียานยนต์ไร้คนขับและเทคโนโลยี GPS ที่แม่นยำ? คำตอบนั้นซับซ้อนและชี้ให้เห็นว่า แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าเพียงใด ความปลอดภัยการบินก็ยังคงต้องพึ่งพาปัจจัยหลายอย่างที่ต้องทำงานสอดประสานกันอย่างไม่มีที่ติ
จากการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญด้านการบิน มีความเป็นไปได้หลายประการที่คณะสอบสวนของ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งเกาหลี (KOCA) จะต้องนำไปพิจารณา
1. ปัจจัยมนุษย์ (Human Error) ความเหนื่อยล้าและความคุ้นเคยเกินไป?
นี่เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดในอุบัติการณ์ทางการบิน
- Confirmation Bias นักบินอาจตั้งใจจะไปอินชอน แต่เมื่อมองเห็นสนามบินกิมโปด้วยสายตา (ซึ่งมีรันเวย์ขนานกันในทิศทางที่คล้ายคลึงกัน) สมองอาจเกิด “อคติเพื่อยืนยัน” ว่านี่คือสนามบินที่ถูกต้อง แม้ข้อมูลจากเครื่องวัดจะแตกต่างออกไป
- การป้อนข้อมูลผิดพลาด นักบินอาจป้อนรหัสสนามบิน (Airport Code) ผิดพลาดลงในระบบจัดการการบิน (Flight Management System – FMS) ตั้งแต่แรก
- ความเหนื่อยล้า การบินระยะไกลข้ามคืนอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของนักบินในช่วงที่สำคัญที่สุดของการบินคือการนำเครื่องลงจอด
2. การสื่อสารกับหอบังคับการบิน (ATC Communication) สัญญาณที่คลาดเคลื่อน?
การสื่อสารระหว่างนักบินและเจ้าหน้าที่ หอบังคับการบิน คือหัวใจสำคัญของการลงจอด
- ความเข้าใจผิด นักบินอาจตีความคำสั่งจาก ATC ผิด หรือ ATC อาจให้ข้อมูลที่ไม่ชัดเจน
- ความคล้ายคลึงของชื่อ แม้ในกรณีนี้จะไม่ใช่ แต่ในอดีตเคยมีเหตุการณ์ลงผิดสนามบินเพราะชื่อที่คล้ายกัน
- ภาษา แม้ภาษาอังกฤษจะเป็นมาตรฐานสากลในการบิน แต่สำเนียงที่แตกต่างกันอาจก่อให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้ในบางครั้ง
3. เทคโนโลยีที่ไม่การันตีความสำเร็จ 100%
แม้เครื่องบินจะมี ระบบนำร่อง (Navigation System) ที่ทันสมัย แต่สุดท้ายแล้วนักบินยังคงเป็นผู้ควบคุมสูงสุด
- การลงจอดด้วยสายตา (Visual Approach) ในสภาพอากาศที่ดี นักบินอาจได้รับอนุญาตให้ทำการลงจอดด้วยการมองเห็น ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดความสับสนหากมีสนามบินที่คล้ายกันอยู่ใกล้เคียง
- ระบบ ILS (Instrument Landing System) ระบบช่วยลงจอดนี้ใช้คลื่นวิทยุที่มีความถี่เฉพาะสำหรับแต่ละรันเวย์ การสอบสวนจะต้องตรวจสอบว่านักบินปรับความถี่ถูกต้องหรือไม่ และระบบทำงานปกติหรือไม่
“Swiss Cheese Model” ถอดบทเรียนความปลอดภัยการบิน
ในวงการความปลอดภัย มักใช้ “แบบจำลองเนยแข็งสวิส” (Swiss Cheese Model) เพื่ออธิบายการเกิดอุบัติเหตุ โดยเปรียบเทียบว่าระบบความปลอดภัยแต่ละชั้น (เช่น เทคโนโลยี, กฎระเบียบ, การฝึกอบรมนักบิน, การทำงานของ ATC) เปรียบเสมือนแผ่นเนยแข็งที่มีรูพรุนอยู่ทั่วไปตามธรรมชาติ
โดยปกติแล้ว รูของเนยแข็งแต่ละแผ่นจะไม่ตรงกัน ทำให้สามารถป้องกันอุบัติเหตุได้ แต่ในบางครั้งที่โชคร้าย รูของเนยแข็งทุกแผ่นอาจเรียงตัวตรงกันพอดี ทำให้ “อุบัติเหตุ” สามารถทะลุผ่านทุกชั้นของการป้องกันไปได้ เหตุการณ์ แอร์เอเชียลงจอดผิดสนามบิน ครั้งนี้ อาจเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของแบบจำลองนี้ ที่ข้อผิดพลาดเล็กๆ หลายอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน
ก้าวต่อไป การสอบสวนและผลกระทบต่อแอร์เอเชีย
ขณะนี้ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งเกาหลี (KOCA) ได้เริ่มกระบวนการสอบสวนอย่างเป็นทางการแล้ว โดยจะมีการดำเนินการดังนี้
- ตรวจสอบกล่องดำ นำเครื่องบันทึกข้อมูลการบิน (Flight Data Recorder) และเครื่องบันทึกเสียงในห้องนักบิน (Cockpit Voice Recorder) มาวิเคราะห์
- สอบปากคำ สัมภาษณ์นักบิน, ลูกเรือ และเจ้าหน้าที่หอบังคับการบินที่เกี่ยวข้อง
- ตรวจสอบข้อมูล รวบรวมข้อมูลสภาพอากาศ, ข้อมูลการบำรุงรักษาเครื่องบิน และประวัติการฝึกของนักบิน
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับ ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ อาจมีตั้งแต่การถูกปรับ ไปจนถึงการสั่งพักงานนักบินที่เกี่ยวข้อง และอาจต้องมีการทบทวนและปรับปรุงขั้นตอนการปฏิบัติงานเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย
ในฐานะผู้โดยสาร เราควรกังวลหรือไม่ และสิทธิ์ของเราคืออะไร?
แอร์เอเชียปลอดภัยไหม? นี่คือคำถามที่หลายคนกังวล ต้องย้ำว่าเหตุการณ์เครื่องบินลงจอดผิดสนามบินนั้นเกิดขึ้นได้ “ยากมาก” และการที่เครื่องบินสามารถลงจอดได้อย่างปลอดภัยก็แสดงให้เห็นว่าระบบพื้นฐานยังคงทำงานได้ดี อุบัติการณ์ครั้งนี้จะนำไปสู่การเรียนรู้และปรับปรุงมาตรการให้รัดกุมยิ่งขึ้น อุตสาหกรรมการบินยังคงเป็นรูปแบบการเดินทางที่ปลอดภัยที่สุดในโลก
สำหรับ สิทธิ์ของผู้โดยสารกรณีเครื่องบินลงผิดที่ โดยทั่วไปสายการบินมีหน้าที่รับผิดชอบในการนำผู้โดยสารไปยังจุดหมายปลายทางที่ถูกต้องโดยเร็วที่สุด ซึ่งในกรณีนี้ แอร์เอเชียได้ดำเนินการจัดรถบัสเพื่อขนส่งผู้โดยสารทั้งหมดจากสนามบินกิมโปไปยังสนามบินอินชอน
บทสรุป บทเรียนราคาแพงที่ต้องเรียนรู้
เหตุการณ์ แอร์เอเชียลงจอดผิดสนามบิน ครั้งนี้ แม้จะน่าตกใจและดูเหมือนเป็นเรื่องตลก แต่ในความเป็นจริงแล้วมันคืออุบัติการณ์ที่ร้ายแรงและเป็นเครื่องเตือนใจที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมการบินทั่วโลก มันย้ำให้เห็นว่าต่อให้เทคโนโลยีก้าวล้ำไปเพียงใด “ปัจจัยมนุษย์” ก็ยังคงเป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดในระบบ
ผลการสอบสวนที่จะออกมาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า จะไม่ใช่การค้นหา “แพะรับบาป” แต่คือการค้นหา “รู” ในแผ่นเนยแข็งแต่ละชั้น เพื่อนำไปสู่การอุดช่องโหว่และเพิ่มชั้นของการป้องกัน ทำให้ท้องฟ้าที่ปลอดภัยอยู่แล้ว ปลอดภัยยิ่งขึ้นไปอีกสำหรับเราทุกคน
แหล่งที่มาจาก : am2con