หลังจากต่อสู้อย่างดุเดือดและยาวนาน ในที่สุดทางการฝรั่งเศสก็สามารถควบคุม “ไฟป่าฝรั่งเศส” ครั้งประวัติศาสตร์ในแคว้นฌีรงด์ (Gironde) ได้สำเร็จ ทิ้งไว้เพียงร่องรอยความเสียหายมหาศาลของผืนป่ากว่า 100,000 ไร่ และชุมชนที่ต้องอพยพ… แต่เปลวไฟที่มอดดับในยุโรป กลับจุดประกายคำถามที่น่ากังวลและใกล้ตัวคนไทยอย่างยิ่ง เมื่อโลกกำลังเผชิญกับ “ความปกติใหม่” ของภัยพิบัติจากภาวะโลกร้อน เราพร้อมแค่ไหนที่จะรับมือกับวิกฤต “ไฟป่าและฝุ่น PM2.5” ที่รุนแรงขึ้นทุกปี? บทความนี้จะพาไปเจาะลึกโศกนาฏกรรมครั้งนี้ และถอดบทเรียนสำคัญที่ประเทศไทยไม่สามารถมองข้ามได้อีกต่อไป
สรุปภารกิจดับไฟป่าฝรั่งเศส ชัยชนะบนความสูญเสีย
เหตุการณ์ไฟป่าครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปีของฝรั่งเศส เริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2568 ในพื้นที่ป่าสนของแคว้น Gironde ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ก่อนจะลุกลามอย่างรวดเร็วจนควบคุมไม่ได้
- สาเหตุ การลอบวางเพลิง ประกอบกับสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยอย่างยิ่งจากภาวะภัยแล้งรุนแรงและ คลื่นความร้อนในยุโรป ที่ทำให้อุณหภูมิพุ่งสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส
- ความเสียหาย พื้นที่ป่าถูกเผาทำลายไปกว่า 16,000 เฮกตาร์ (ประมาณ 100,000 ไร่)
- การอพยพ ประชาชนกว่า 12,000 คนต้องอพยพออกจากบ้านเรือน
- การรับมือ ระดมกำลัง นักดับเพลิง ทั้งจากฝรั่งเศสและประเทศเพื่อนบ้านในสหภาพยุโรป (เยอรมนี, โปแลนด์, ออสเตรีย, โรมาเนีย) กว่า 1,500 นาย พร้อมด้วยเครื่องบินดับเพลิงและเฮลิคอปเตอร์จำนวนมาก
หลังจากการต่อสู้อย่างไม่หยุดหย่อน ในที่สุดเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ทางการฝรั่งเศสก็สามารถประกาศได้ว่าไฟป่าอยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว แต่ภาพความเสียหายที่ปรากฏคือเครื่องย้ำเตือนถึงพลังทำลายล้างของภัยพิบัติในยุค วิกฤตสภาพภูมิอากาศ
ต้นตอที่แท้จริง เมื่อ “คลื่นความร้อน” กลายเป็นเชื้อไฟ
สาเหตุของไฟป่าเกิดจากอะไร? แม้จุดเริ่มต้นอาจมาจากการกระทำของมนุษย์ แต่ปัจจัยที่ทำให้ไฟลุกลามจนกลายเป็นหายนะคือ ภาวะโลกร้อน อย่างปฏิเสธไม่ได้
นักวิทยาศาสตร์จาก World Weather Attribution (WWA) ยืนยันว่า คลื่นความร้อนที่รุนแรงและยาวนานในยุโรปในช่วงฤดูร้อนปีนี้ มีโอกาสเกิดขึ้นได้มากขึ้นอย่างน้อย 10 เท่าจากผลกระทบของภาวะโลกร้อนที่มนุษย์สร้างขึ้น สภาพอากาศที่ร้อนจัดและแห้งแล้งทำให้ป่าไม้กลายเป็นเหมือน “กองเชื้อเพลิง” ที่พร้อมจะลุกติดไฟและขยายวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว
ปรากฏการณ์ “ไฟป่าขนาดใหญ่” (Mega-fire) เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในฝรั่งเศส แต่เกิดขึ้นทั่วโลก ตั้งแต่แคลิฟอร์เนียในสหรัฐฯ, ไซบีเรียในรัสเซีย, ออสเตรเลีย และกำลังกลายเป็น “ความปกติใหม่” (New Normal) ที่ทุกประเทศต้องเตรียมรับมือ
จากฝรั่งเศสถึงเชียงใหม่ โศกนาฏกรรมในกระจกเงา
เมื่อมองภาพไฟป่าที่ฝรั่งเศส คนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะในภาคเหนือ คงรู้สึกว่านี่คือภาพที่คุ้นเคยอย่างน่าเจ็บปวด เพราะมันคือภาพสะท้อนของวิกฤตที่เราเผชิญอยู่ทุกปี
สถานการณ์ไฟป่าและ PM2.5 ในไทย วิกฤตประจำปีที่รอวันระเบิด
ในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายนของทุกปี ภาคเหนือของไทยจะถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันพิษจากไฟป่า จนกลายเป็นวิกฤตระดับชาติ
- สถิติจาก GISTDA ในช่วงฤดูไฟป่าปี 2568 (ม.ค.-เม.ย.) พบจุดความร้อน (Hotspot) ในประเทศไทยรวมกว่า 70,000 จุด โดยกระจุกตัวหนาแน่นในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะ ไฟป่าเชียงใหม่, แม่ฮ่องสอน และตาก
- วิกฤตสุขภาพ ปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่เกิดจากไฟป่าส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนหลายล้านคน ทำให้เชียงใหม่และเมืองอื่นๆ ติดอันดับเมืองที่มีมลพิษทางอากาศสูงที่สุดในโลกอยู่บ่อยครั้ง
รากปัญหาที่คล้ายคลึง โลกร้อนและการเผาในที่โล่ง
แม้บริบทจะต่างกัน แต่รากของปัญหามีส่วนที่คล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง
- ภาวะโลกร้อน ทำให้ฤดูแล้งในไทยยาวนานและแห้งแล้งกว่าปกติ เพิ่มความเสี่ยงที่ไฟจะลุกลามได้ง่าย
- การกระทำของมนุษย์ เช่นเดียวกับฝรั่งเศส ไฟป่าในไทยส่วนใหญ่เกิดจากฝีมือมนุษย์ ทั้งการหาของป่า, การเผาเพื่อเตรียมพื้นที่เกษตร และความประมาทเลินเล่อ
วิกฤตในฝรั่งเศสจึงเป็นเหมือนกระจกเงาที่สะท้อนให้เห็นว่า หากปัจจัยด้านสภาพอากาศสุดขั้วรุนแรงขึ้นไปอีก ไฟป่าในไทยก็มีศักยภาพที่จะทวีความรุนแรงจนกลายเป็น “Mega-fire” ได้เช่นกัน
ถอดบทเรียนการรับมือ ไทยเรียนรู้อะไรจากฝรั่งเศสได้บ้าง?
การรับมือกับไฟป่าครั้งประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสมีบทเรียนสำคัญหลายประการที่ไทยสามารถนำมาปรับใช้ได้
- ความร่วมมือระหว่างประเทศ ฝรั่งเศสได้รับการสนับสนุนทั้งกำลังคนและยุทโธปกรณ์จากเพื่อนบ้านในสหภาพยุโรปอย่างรวดเร็วภายใต้กลไก “rescEU” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของความร่วมมือระดับภูมิภาคในการรับมือภัยพิบัติขนาดใหญ่ อาเซียนควรพัฒนากลไกความร่วมมือด้านการดับไฟป่าและจัดการหมอกควันข้ามแดนให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น
- การลงทุนในเทคโนโลยีและอุปกรณ์ขั้นสูง การใช้เครื่องบินดับเพลิงขนาดใหญ่และโดรนสำรวจความร้อน เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การดับไฟมีประสิทธิภาพมากขึ้น ประเทศไทยจำเป็นต้องลงทุนในเทคโนโลยีเหล่านี้เพิ่มเติม จากที่ปัจจุบันยังพึ่งพากำลัง นักดับเพลิง ภาคพื้นดินเป็นหลัก ซึ่งมีความเสี่ยงและเหนื่อยล้าสูง
- การบังคับใช้กฎหมายที่เด็ดขาด การสืบสวนและจับกุมผู้ลอบวางเพลิงได้อย่างรวดเร็วของทางการฝรั่งเศส เป็นการส่งสารที่ชัดเจนว่าสังคมจะไม่ทนต่อการกระทำที่สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรง การบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่เผาป่าในไทยก็จำเป็นต้องมีความจริงจังและเด็ดขาดเช่นเดียวกัน
- การสร้างความตระหนักรู้ วิธีป้องกันไฟป่าและฝุ่นควัน ที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เกิดไฟตั้งแต่แรก การรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ถึงอันตรายและ ผลกระทบของไฟป่าต่อสุขภาพ และเศรษฐกิจ จะต้องทำอย่างต่อเนื่องและจริงจัง
บทสรุป ถึงเวลาเผชิญหน้ากับความจริงของโลกที่ร้อนขึ้น
เปลวไฟที่เผาผลาญผืนป่าในฝรั่งเศสและหมอกควันที่ปกคลุมท้องฟ้าเชียงใหม่ ไม่ใช่เหตุการณ์ที่แยกขาดจากกัน แต่เป็นอาการป่วยของโลกใบเดียวกันที่กำลังร้อนขึ้นจาก วิกฤตสภาพภูมิอากาศ ชัยชนะในการควบคุมไฟป่าของฝรั่งเศสคือความหวัง แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นคือเครื่องเตือนใจว่าเราไม่สามารถสู้อยู่ที่ปลายเหตุได้อีกต่อไป
ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องยกระดับการรับมือวิกฤตไฟป่าและ PM2.5 ให้เป็น “วาระแห่งชาติ” อย่างแท้จริง โดยการลงทุนในเทคโนโลยี, การปรับปรุงกฎหมาย, การสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือการแก้ไขที่ต้นตอของปัญหา ทั้งการเผาในที่โล่งและปัญหาสิทธิในที่ดินทำกิน เพราะหากเรายังคงนิ่งเฉย “ไฟป่าแห่งศตวรรษ” ที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศสวันนี้ อาจกลายเป็น “ไฟป่าประจำปี” ของประเทศไทยในอนาคตอันใกล้นี้
แหล่งที่มาจาก : am2con