องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ส่งสัญญาณเรียกร้องครั้งสำคัญให้รัฐบาลทั่วโลกพิจารณาการขึ้น “ภาษีสุขภาพ” กับสินค้าทำลายสุขภาพอย่างแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มรสหวานอย่างจริงจัง เพื่อเป็นเครื่องมือ “สองต่อ” ทั้งลดพฤติกรรมเสี่ยงและอุดช่องโหว่ด้านงบประมาณ… ข้อเสนอนี้ไม่ได้เป็นเพียงแนวทางด้านสาธารณสุขสากล แต่ยังเป็นคำตอบที่อาจช่วยแก้สองโจทย์ใหญ่ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้าอย่างหนักหน่วง วิกฤตโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่กัดกินสุขภาพคนไทย และความท้าทายในการหาเงินทุนที่ยั่งยืนให้แก่ระบบ “หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” หรือ “บัตรทอง” ของเรา บทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึงข้อเสนอของ WHO และวิเคราะห์อย่างรอบด้านว่า หากไทยจะเดินตามเส้นทางนี้ จะเป็นโอกาสทองหรือความท้าทายครั้งใหญ่สำหรับอนาคตสุขภาพของคนทั้งชาติ
เสียงจากเจนีวา WHO เสนออะไร และทำไม?
ในรายงานฉบับล่าสุดที่เผยแพร่จากนครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ องค์การอนามัยโลก (WHO) ภายใต้การนำของผู้อำนวยการใหญ่ ดร. เทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ได้นำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจและเรียกร้องให้เกิดการลงมือทำอย่างเร่งด่วน โดยระบุว่าทั่วโลกยังคงใช้มาตรการทางภาษีกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ดีต่อสุขภาพน้อยเกินไป
ข้อเสนอหลักของ WHO
- ขึ้นภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล WHO ชี้ว่าการขึ้นภาษีสินค้าเหล่านี้ให้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จะช่วยลดการบริโภคได้อย่างชัดเจน ซึ่งจะนำไปสู่การลดลงของโรคอ้วน, เบาหวาน, โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงมะเร็งบางชนิด
- สร้างรายได้เข้าระบบสุขภาพ ภาษีที่เก็บได้ควรถูกนำไปใช้เพื่อสนับสนุนระบบสาธารณสุขโดยตรง (Earmarked Tax) เพื่อให้ประเทศต่างๆ มีทรัพยากรที่เพียงพอในการบรรลุเป้าหมายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health Coverage – UHC)
ดร. เทดรอส กล่าวว่า “การเก็บภาษีสินค้าที่ไม่ดีต่อสุขภาพเป็นการสร้างประชากรที่มีสุขภาพดีขึ้น มันเป็นทั้งชัยชนะของสาธารณสุข, ชัยชนะของเศรษฐกิจ และเป็นชัยชนะของสังคมโดยรวม” WHO ประมาณการว่า หากทุกประเทศขึ้นภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้สูงขึ้น 50% จะสามารถป้องกันการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้ถึง 21 ล้านคนในอีก 50 ปีข้างหน้า และสร้างรายได้เพิ่มขึ้นเกือบ 17 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
“ภาษีสุขภาพ” คืออะไร? มากกว่าแค่ “ภาษีบาป”
หลายคนอาจคุ้นเคยกับคำว่า “ภาษีบาป” (Sin Tax) ซึ่งเป็นชื่อเรียกภาษีสรรพสามิตที่เก็บจากสินค้าอย่างสุราและยาสูบในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน แต่แนวคิดของ ภาษีสุขภาพ (Health Tax) ที่ WHO นำเสนอนั้นมีเป้าหมายที่กว้างและชัดเจนกว่า
ความแตกต่างที่สำคัญ
- เป้าหมายเชิงพฤติกรรม มุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคของคนในวงกว้าง ไม่ใช่แค่การมองว่าเป็น “บาป” ของคนบางกลุ่ม
- ขอบเขตสินค้า ครอบคลุมไปถึงสินค้าใหม่ๆ ที่เป็นสาเหตุหลักของปัญหาสุขภาพในยุคปัจจุบัน เช่น ภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล (Sugary Drink Tax) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ภาษีความหวาน”
- การเชื่อมโยงกับงบประมาณ แนวคิดสำคัญคือการนำรายได้จากภาษีส่วนนี้ไปสนับสนุนค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพโดยตรง ซึ่งต่างจากภาษีบาปแบบดั้งเดิมที่มักจะถูกรวมเข้าไปในงบประมาณกลางของรัฐบาล (ยกเว้นส่วนที่จัดสรรให้ สสส. และ Thai PBS)
ส่องระบบสาธารณสุขไทย โจทย์ใหญ่ที่รอคำตอบ
ข้อเสนอของ WHO เกิดขึ้นในจังหวะที่ ระบบสาธารณสุขไทย กำลังเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างที่หนักหน่วง
1. วิกฤตโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ภาระที่มองไม่เห็น
โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคเบาหวาน, โรคอ้วนลงพุง, โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคความดันโลหิตสูง และโรคมะเร็ง กลายเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทยมานานหลายปี
- สถิติที่น่ากังวล ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขชี้ว่า คนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวานกว่า 5 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ขณะที่ปัญหาเด็กอ้วนก็อยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง
- ต้นทุนมหาศาล โรคเหล่านี้ไม่เพียงแต่คร่าชีวิตผู้คน แต่ยังสร้างภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลระยะยาวให้กับทั้งตัวผู้ป่วย, ครอบครัว และรัฐบาลเป็นเงินหลายแสนล้านบาทต่อปี
2. ความยั่งยืนของ “บัตรทอง” เมื่อรายจ่ายโตเร็วกว่ารายรับ
โครงการ หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) คือความสำเร็จที่ทั่วโลกชื่นชม แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายด้านงบประมาณที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี
- คำถามเรื่องเงินทุน เงินทุน สปสช. เพียงพอหรือไม่? เป็นคำถามที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่มีการจัดทำงบประมาณแผ่นดิน ด้วยจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นและเทคโนโลยีการรักษาที่แพงขึ้น ทำให้รายจ่ายของระบบเติบโตเร็วกว่ารายรับจากงบประมาณปกติอย่างต่อเนื่อง การหาแหล่งรายได้ใหม่เพื่อค้ำจุนระบบในระยะยาวจึงเป็นเรื่องเร่งด่วน
โอกาสและความท้าทาย หากไทยจะเดินหน้าขึ้น “ภาษีสุขภาพ”
การนำข้อเสนอของ WHO มาปรับใช้อย่างเต็มรูปแบบในไทย เปรียบเสมือนเหรียญสองด้านที่มีทั้งโอกาสและความท้าทาย
ฝั่งสนับสนุน สุขภาพที่ดีขึ้นและงบประมาณที่มั่นคง
กลุ่มนักวิชาการด้านสาธารณสุขและองค์กรภาคประชาสังคมมองว่า นี่คือโอกาสสำคัญ
- ลดการเจ็บป่วย การทำให้เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงและแอลกอฮอล์มีราคาแพงขึ้น จะจูงใจให้ประชาชนลดการบริโภค ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว ดังที่เห็นผลมาแล้วในหลายประเทศที่ใช้มาตรการนี้
- สร้างความยั่งยืนให้บัตรทอง หากนำรายได้จากภาษีส่วนนี้มาสมทบเข้ากองทุนหลักประกันสุขภาพฯ โดยตรง จะช่วยลดภาระงบประมาณแผ่นดินและสร้างความมั่นคงทางการคลังให้กับระบบได้
- กระตุ้นให้ผู้ผลิตปรับสูตร ภาษีความหวานแบบขั้นบันไดที่ไทยใช้อยู่ ได้กระตุ้นให้ผู้ผลิตหลายรายปรับสูตรลดปริมาณน้ำตาลลง ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้บริโภค
ฝั่งคัดค้าน ภาระของผู้มีรายได้น้อยและผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
ภาคอุตสาหกรรมและนักเศรษฐศาสตร์บางส่วนแสดงความกังวลในประเด็นต่างๆ
- ภาษีถดถอย (Regressive Tax) ผลกระทบของภาษีสุขภาพต่อผู้มีรายได้น้อย อาจมีมากกว่าคนกลุ่มอื่น เนื่องจากคนกลุ่มนี้มักใช้จ่ายในสินค้าเหล่านี้ในสัดส่วนที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับรายได้
- ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมเครื่องดื่ม, อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล รวมถึงเกษตรกรและร้านค้าปลีกรายย่อย อาจได้รับผลกระทบจากยอดขายที่ลดลง
- ประสิทธิผลที่ต้องพิสูจน์ มีข้อโต้แย้งว่าพฤติกรรมการบริโภคเป็นเรื่องซับซ้อน และการขึ้นภาษีเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถแก้ปัญหาโรค NCDs ได้ หากไม่ทำควบคู่ไปกับการให้ความรู้และการส่งเสริมทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพอื่นๆ
บทสรุป ถึงเวลาสนทนาระดับชาติเพื่ออนาคตสุขภาพไทย
ข้อเสนอของ WHO ในเรื่อง ภาษีสุขภาพ ได้จุดประกายการถกเถียงครั้งสำคัญในเวทีโลก และเป็นโอกาสอันดีที่สังคมไทยจะต้องหันมาสนทนาเรื่องนี้อย่างจริงจังและรอบด้าน การตัดสินใจเดินหน้าขยายการจัดเก็บภาษีสุขภาพไม่ใช่ “ยาวิเศษ” ที่จะแก้ได้ทุกปัญหา แต่เป็นเครื่องมือเชิงนโยบายที่ทรงพลังและได้รับการพิสูจน์แล้วในหลายประเทศว่า “ได้ผล”
โจทย์ใหญ่ของประเทศไทยไม่ได้อยู่ที่ว่า “จะทำหรือไม่ทำ” แต่อยู่ที่ “จะทำอย่างไร” ให้การออกแบบนโยบายภาษีนั้นสามารถสร้างประโยชน์สูงสุดด้านสุขภาพ ลดผลกระทบเชิงลบต่อกลุ่มเปราะบาง และสร้างความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย เพื่อวางรากฐานให้ ระบบสาธารณสุขไทย มีความยั่งยืน และคนไทยทุกคนมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว
แหล่งที่มาจาก : am2con