ข่าวความสำเร็จของเกาะบาหลีที่สามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้มากกว่า 4 ล้านคนในระยะเวลาเพียง 7 เดือนแรกของปี 2568 ไม่ใช่แค่สถิติที่น่าชื่นชม แต่คือเสียงระฆังเตือนภัยที่ดังก้องมาถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยโดยตรง ในฐานะ “คู่แข่งท่องเที่ยวไทย” ที่สำคัญที่สุดในสนามรบทะเลใต้ บาหลีกำลังทำอะไรที่แตกต่าง? และมีบทเรียนอะไรที่ “ไข่มุกแห่งอันดามัน” อย่างภูเก็ต และประเทศไทยโดยรวมต้องรีบเรียนรู้ ก่อนที่จะถูกทิ้งห่างในสนามแข่งขันที่ไม่มีที่ว่างสำหรับผู้ที่ปรับตัวช้า บทความนี้จะพาไปเจาะลึกเบื้องหลังตัวเลขที่น่าทึ่ง และถอดรหัสกลยุทธ์ที่กำลังทำให้บาหลีกลายเป็นดาวเด่นแห่งการท่องเที่ยวโลก
ถอดรหัสความสำเร็จ “ท่องเที่ยวบาหลี” ไม่ใช่แค่โชคช่วย
ตามรายงานล่าสุดจากสำนักงานสถิติแห่งชาติอินโดนีเซีย (BPS) และสำนักงานการท่องเที่ยวบาหลี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 กรกฎาคม 2568 เกาะบาหลีได้ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นจำนวนรวมกว่า 4.12 ล้านคน ซึ่งถือเป็นการฟื้นฟูการท่องเที่ยวที่รวดเร็วและแข็งแกร่งเกินความคาดหมาย โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าบาหลีมากที่สุดประกอบด้วย
- ออสเตรเลีย
- อินเดีย
- จีน
- สิงคโปร์
- สหราชอาณาจักร
ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ แต่เป็นผลพวงมาจากวิสัยทัศน์และนโยบายที่ชัดเจนของรัฐบาลอินโดนีเซียภายใต้การนำของรัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ นายซานเดียกา อูโน (Sandiaga Uno)
3 กลยุทธ์หลักที่ขับเคลื่อนตัวเลข
ทำไมบาหลีถึงดึงดูดนักท่องเที่ยว? คำตอบอยู่ที่ 3 กลยุทธ์หลักที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องและเห็นผลเป็นรูปธรรม
- “ภาษีท่องเที่ยว” พลิกเกมสู่ความยั่งยืน (The “Tourism Levy” Game-Changer) บาหลีได้เริ่มบังคับใช้ ภาษีท่องเที่ยว กับชาวต่างชาติในอัตรา 150,000 รูเปียห์ (ประมาณ 10 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 350 บาท) ต่อคน ตั้งแต่ต้นปี 2568 ที่ผ่านมา หลายฝ่ายเคยเกรงว่าภาษีนี้จะทำให้นักท่องเที่ยวลดลง แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม รัฐบาลอินโดนีเซียสื่อสารอย่างชัดเจนว่ารายได้จากส่วนนี้จะถูกนำไปใช้เพื่อ
- อนุรักษ์วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม บำรุงรักษาแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและธรรมชาติที่กำลังเสื่อมโทรม
- พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน แก้ไขปัญหาขยะและการจราจร การเก็บภาษีนี้กลับสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในหมู่นักท่องเที่ยวคุณภาพที่ต้องการเห็นการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน และเป็นการส่งสัญญาณว่าบาหลีกำลังมุ่งเน้น “คุณภาพ” มากกว่า “ปริมาณ”
- เปิดประตูรับ “Digital Nomad” อย่างเป็นทางการ การท่องเที่ยวอินโดนีเซียมองขาดเทรนด์การทำงานทางไกล (Remote Work) ด้วยการออกวีซ่า Digital Nomad Visa อย่างเป็นทางการ ซึ่งอนุญาตให้ชาวต่างชาติสามารถพำนักและทำงานทางไกลในบาหลีได้นานถึง 5 ปี โดยไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ในอินโดนีเซีย (หากรายได้มาจากต่างประเทศ) นโยบายนี้ดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวรายได้สูงที่ใช้จ่ายมากกว่านักท่องเที่ยวทั่วไปและพำนักระยะยาว ทำให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นอย่างแท้จริง
- การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง วัฒนธรรมและ Wellness Tourism บาหลีประสบความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ที่แตกต่างและชัดเจน โดยไม่ได้ขายแค่ “ทะเลและชายหาด” แต่ขายประสบการณ์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น
- วัฒนธรรมและจิตวิญญาณ วัดวาอาราม, พิธีกรรม, ศิลปะ และวิถีชีวิตที่ไม่เหมือนใคร
- Wellness & Retreats เป็นศูนย์กลางของโยคะ, สปา, การทำสมาธิ และอาหารเพื่อสุขภาพระดับโลก
การตลาดที่มุ่งเน้นจุดแข็งเหล่านี้ทำให้บาหลีสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้หลากหลายกลุ่มและตลอดทั้งปี
พลิกกลับมามองไทย สถานการณ์ของเราอยู่ตรงไหน?
เมื่อเทียบกับตัวเลขของบาหลี สถานการณ์ของประเทศไทย (ข้อมูลสมมติ ณ วันที่ 15 ส.ค. 2568) แม้จะยังคงมีจำนวนนักท่องเที่ยวโดยรวมทั้งประเทศสูงกว่า แต่เมื่อมองเฉพาะพื้นที่ที่เป็นเกาะท่องเที่ยวซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรงอย่างภูเก็ต กลับเห็นภาพที่น่าขบคิด
- นักท่องเที่ยวสะสมทั้งประเทศ (ม.ค.-ก.ค. 68) ประมาณ 20 ล้านคน
- นักท่องเที่ยวสะสม จ.ภูเก็ต (ม.ค.-ก.ค. 68) ประมาณ 3.5 ล้านคน
จะเห็นได้ว่าตัวเลขของภูเก็ตนั้นใกล้เคียงและอาจตามหลังบาหลีอยู่เล็กน้อย ซึ่งเป็นสัญญาณที่น่ากังวลสำหรับจุดหมายปลายทางที่เคยได้รับการยอมรับในระดับโลก
ภูเก็ต VS บาหลี สมรภูมิเกาะสวรรค์
คำถามที่นักเดินทางหลายคนสงสัยคือ เที่ยวบาหลีหรือภูเก็ตดีกว่ากัน? หากเราเปรียบเทียบกลยุทธ์กันหมัดต่อหมัด จะเห็นความแตกต่างที่ชัดเจน
บทเรียนสำหรับประเทศไทย จาก “คู่แข่ง” สู่ “กรณีศึกษา”
ความสำเร็จของบาหลีไม่ใช่เรื่องที่เราควรมองข้าม แต่ควรนำมาเป็น “กรณีศึกษา” เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเราให้ก้าวไปอีกระดับ
- ความกล้าที่จะแตกต่างและเก็บเงินเพื่อความยั่งยืน ไทยควรพิจารณาโมเดล “ค่าเหยียบแผ่นดิน” หรือภาษีท่องเที่ยวอย่างจริงจัง โดยสื่อสารให้ชัดเจนถึงวัตถุประสงค์ในการนำเงินไปพัฒนาและอนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ
- ปฏิรูปนโยบายวีซ่าเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวระยะยาว แม้ไทยจะมี LTR Visa แต่เงื่อนไขที่ซับซ้อนและข้อกำหนดด้านรายได้ที่สูงมากยังคงเป็นอุปสรรค เราอาจเรียนรู้จากความง่ายและตรงไปตรงมาของ Digital Nomad Visa ของอินโดนีเซีย
- สร้างแบรนด์ที่ลึกซึ้งกว่าแค่ “Sun, Sea, Sand” การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และภาคเอกชนต้องร่วมมือกันสร้างเรื่องราวและจุดขายที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Gastronomy (วัฒนธรรมอาหาร), Medical & Wellness Hub, หรือ Soft Power อื่นๆ ที่เรามีอยู่มากมาย
- แก้ปัญหาเรื้อรังอย่างจริงจัง ปัญหาความปลอดภัย, การเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว, และการจัดการสิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งที่บั่นทอนภาพลักษณ์ของประเทศมาอย่างยาวนาน และจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเด็ดขาด
บทสรุป ถึงเวลาที่ไทยต้องเร่งสปีด
ชัยชนะของ ท่องเที่ยวบาหลี ในรอบนี้ คือบทพิสูจน์ว่าในโลกหลังโควิด-19 นักท่องเที่ยวไม่ได้มองหาแค่ความสวยงาม แต่ยังมองหาความหมาย, ประสบการณ์ที่แตกต่าง และความยั่งยืน ประเทศไทยซึ่งมีศักยภาพและทรัพยากรที่ไม่เป็นรองใคร ไม่สามารถที่จะหยุดนิ่งหรือพึงพอใจกับความสำเร็จในอดีตได้อีกต่อไป
การเรียนรู้จากกลยุทธ์ของคู่แข่ง การปรับใช้นโยบายที่กล้าหาญและมองการณ์ไกล และการร่วมมือกันของทุกภาคส่วน คือหนทางเดียวที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของภูมิภาค และเติบโตต่อไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในสนามแข่งขันที่ไม่มีวันหยุดนิ่ง
แหล่งที่มาจาก : am2con