เจาะปรากฏการณ์ญี่ปุ่นขึ้นเงินเดือน 5% สองปีซ้อน: กระจกสะท้อน “ค่าแรงไทย” ที่โตไม่ทันโลก

ขึ้นเงินเดือนในญี่ปุ่น

ในขณะที่มนุษย์เงินเดือนชาวญี่ปุ่นกำลังได้เฮติดต่อกันเป็นปีที่สอง กับการปรับขึ้นเงินเดือนครั้งประวัติศาสตร์กว่า 5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 30 ปี ข่าวนี้ได้สะท้อนกลับมายังประเทศไทยด้วยเสียงที่ดังและชัดเจน พร้อมคำถามสำคัญว่า เหตุใดค่าจ้างของคนไทยถึงยังคงเติบโตอย่างเชื่องช้า สวนทางกับค่าครองชีพที่พุ่งทะยาน? นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลข แต่เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่พยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจาก “ทศวรรษที่หายไป” บทความนี้จะพาไปวิเคราะห์เบื้องลึกเบื้องหลังปรากฏการณ์นี้ และถอดบทเรียนสำคัญว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในความสำเร็จของญี่ปุ่น ที่ตลาดแรงงานไทยจำเป็นต้องเรียนรู้

Over 90% of Japan companies agree to base pay hikes in 2024: survey -  Nikkei Asia

ปรากฏการณ์ 2 ปีซ้อน เกิดอะไรขึ้นกับการขึ้นเงินเดือนในญี่ปุ่น?

เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น (Keidanren) ซึ่งเป็นองค์กรตัวแทนของบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ ได้เปิดเผยผลสรุปเบื้องต้นของ การเจรจาค่าจ้าง ชุนโท (Shunto) หรือ “การต่อสู้ในฤดูใบไม้ผลิ” ประจำปี 2568 โดยบริษัทชั้นนำอย่าง Toyota, Hitachi และ Panasonic ได้ตกลงที่จะปรับขึ้นค่าจ้างโดยรวม (ทั้งเงินเดือนพื้นฐานและโบนัส) ในอัตราเฉลี่ยสูงถึง 5.58% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นเกิน 5% ติดต่อกันเป็นปีที่สอง หลังจากที่เคยสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการขึ้น 5.28% ในปี 2567

“ชุนโท” คืออะไร?

  • Shunto (春闘) คือการเจรจาต่อรองเรื่องค่าจ้างและสภาพการทำงานประจำปีระหว่างสหภาพแรงงานและฝ่ายจัดการของบริษัทต่างๆ ในญี่ปุ่น ซึ่งจัดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิของทุกปี
  • ผลการเจรจาของบริษัทใหญ่ๆ มักจะกลายเป็น บรรทัดฐาน (Benchmark) ให้กับบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ทั่วประเทศนำไปปฏิบัติตาม
  • ดังนั้น การที่บริษัทใหญ่ยอมปรับขึ้นค่าจ้างในอัตราสูง จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภาพรวมของ เศรษฐกิจญี่ปุ่น

ปรากฏการณ์ ขึ้นเงินเดือนในญี่ปุ่น ครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ของปัจจัยหลายอย่างที่สุกงอมในเวลาที่พอดี

3 ปัจจัยขับเคลื่อน เบื้องหลัง “ค่าจ้าง” ที่พุ่งทะยาน

ทำไมญี่ปุ่นถึงขึ้นเงินเดือนสูง? คำตอบซ่อนอยู่ใน 3 ปัจจัยหลักที่ทำงานประสานกัน

  1. เงินเฟ้อสูง-แรงกดดันจากค่าครองชีพ (High Inflation – Pressure from Cost of Living) ญี่ปุ่นซึ่งเคยเผชิญกับ ภาวะเงินฝืด (ราคาสินค้าลดลง) หรือเงินเฟ้อใกล้ศูนย์มานานหลายสิบปี ได้เห็น อัตราเงินเฟ้อ พุ่งสูงขึ้นเกิน 2% อย่างต่อเนื่องในช่วงสองปีที่ผ่านมา จากราคาพลังงานและอาหารที่สูงขึ้นทั่วโลก ทำให้ค่าครองชีพของประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สหภาพแรงงานจึงมีเหตุผลอันหนักแน่นในการเรียกร้องค่าจ้างเพิ่มขึ้น เพื่อให้รายได้ของสมาชิก “โตทัน” ค่าใช้จ่าย
  2. ตลาดแรงงานตึงตัว-การขาดแคลนคนทำงาน (Tight Labor Market – Worker Shortage) ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรง จากโครงสร้างประชากรที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยขั้นสุดยอด (Super-aged society) และอัตราการเกิดต่ำ เมื่อจำนวนคนในวัยทำงานลดลง บริษัทต่างๆ จึงต้อง “แข่งขัน” กันเพื่อดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีคุณภาพไว้ อำนาจการต่อรองจึงย้ายจากฝั่งนายจ้างมาอยู่ฝั่งลูกจ้างมากขึ้น การเสนอขึ้นค่าจ้างและปรับปรุงสวัสดิการจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการแข่งขันนี้
  3. นโยบายรัฐและธนาคารกลาง (Government and Central Bank Policy) รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ และ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ได้ส่งสัญญาณและกดดันภาคเอกชนอย่างต่อเนื่องให้ปรับขึ้นค่าจ้าง เพราะทั้งสองหน่วยงานต้องการสร้าง “วงจรเชิงบวกระหว่างค่าจ้างและราคา” (Virtuous cycle between wages and prices) กล่าวคือ
  • เมื่อค่าจ้างเพิ่มขึ้น -> ประชาชนมีกำลังซื้อมากขึ้น -> การบริโภคเพิ่มขึ้น -> บริษัทมีรายได้และกำไรมากขึ้น -> บริษัทสามารถขึ้นค่าจ้างต่อไปได้อีก
  • วงจรนี้คือหัวใจสำคัญในการทำให้ญี่ปุ่นหลุดพ้นจาก “ภาวะเงินฝืด” และ “ความคิดแบบฝืดเคือง” (Deflationary Mindset) ที่กัดกินเศรษฐกิจมานานได้อย่างถาวร

Japan firms agree to biggest pay hike in 34 years, but will it boost  consumer spending? | Reuters

มองย้อนดูไทย ทำไมเงินเดือนเรา “โตไม่ทัน”

เมื่อหันกลับมามองที่ ตลาดแรงงานไทย เราจะเห็นภาพที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง แม้จะเผชิญกับภาวะค่าครองชีพสูงเช่นกัน แต่ แนวโน้มขึ้นเงินเดือนในไทยปี 2568 จากผลสำรวจของหลายสำนักกลับอยู่ที่ราว 3-4% เท่านั้น ซึ่งแทบจะไม่ทันอัตราเงินเฟ้อด้วยซ้ำ อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เราติดอยู่ในสภาวะนี้?

  1. กับดักรายได้ปานกลางและผลิตภาพแรงงานต่ำ (Middle-Income Trap & Low Productivity) ประเทศไทยยังคงติดอยู่ใน กับดักรายได้ปานกลาง มานาน เศรษฐกิจเติบโตในระดับต่ำ และที่สำคัญคือ “ผลิตภาพแรงงาน” (Labor Productivity) ของเรายังไม่สูงพอ นายจ้างจึงไม่มีศักยภาพหรือแรงจูงใจที่จะปรับขึ้นค่าจ้างในอัตราสูงๆ ได้ เพราะผลผลิตที่ได้จากพนักงานไม่ได้เพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกัน
  2. โครงสร้างตลาดแรงงานและอำนาจต่อรอง (Labor Market Structure & Bargaining Power) ต่างจากญี่ปุ่นที่มีระบบ “ชุนโท” และสหภาพแรงงานที่แข็งแกร่ง การเจรจาค่าจ้างในไทยส่วนใหญ่เป็นการเจรจาในระดับบุคคลหรือในระดับองค์กรที่ไม่มีสหภาพฯ อำนาจต่อรองของลูกจ้างจึงมีน้อยกว่า การปรับ ค่าจ้างขั้นต่ำ โดยคณะกรรมการไตรภาคีมักเป็นการปรับที่ล่าช้าและไม่สะท้อนค่าครองชีพที่แท้จริง
  3. ธรรมชาติของเงินเฟ้อที่แตกต่าง (A Different Kind of Inflation) เงินเฟ้อในไทยช่วงที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นแบบ “Cost-push” คือเกิดจากต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบนำเข้าที่สูงขึ้น ไม่ได้เกิดจาก “Demand-pull” หรือความต้องการซื้อของประชาชนที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งเหมือนที่ญี่ปุ่นพยายามจะสร้าง ทำให้บริษัทต่างๆ ต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ไม่สามารถส่งผ่านไปยังผู้บริโภคได้ทั้งหมด จึงไม่มีช่องว่าง (Margin) เหลือพอที่จะขึ้นเงินเดือนให้พนักงานได้มากนัก

ถอดบทเรียนจากญี่ปุ่น ทางออกของ “ตลาดแรงงานไทย” อยู่ที่ไหน?

ไทยจะหลุดพ้นจากค่าแรงถูกได้อย่างไร? แม้เราไม่สามารถลอกเลียนแบบโมเดลของญี่ปุ่นได้ทั้งหมด แต่มีบทเรียนสำคัญที่เราสามารถเรียนรู้ได้

  • ยกระดับผลิตภาพแรงงานเป็นวาระแห่งชาติ ต้องมีการลงทุนอย่างจริงจังในการ Reskill/Upskill แรงงานให้มีทักษะที่ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับตัวแรงงานและผลผลิต
  • ส่งเสริมการเจรจาต่อรองร่วม ภาครัฐควรส่งเสริมให้เกิดกลไกการรวมตัวและการเจรจาต่อรองที่เป็นระบบและยุติธรรมมากขึ้น เพื่อสร้างสมดุลระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง
  • เปลี่ยนทัศนคติของผู้ประกอบการ ต้องสร้างความเข้าใจในหมู่ผู้ประกอบการว่า การขึ้นค่าจ้างไม่ใช่ “ต้นทุน” เพียงอย่างเดียว แต่คือ “การลงทุน” ในทรัพยากรมนุษย์ที่จะช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจ ลดอัตราการลาออก และดึงดูดคนเก่งเข้ามาทำงาน ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจในระยะยาว
  • นโยบายรัฐที่สอดคล้องกัน นโยบายด้านเศรษฐกิจ, อุตสาหกรรม, และแรงงานต้องทำงานสอดประสานกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เกิดการเติบโตของค่าจ้างอย่างยั่งยืน

Monitoring of teleworkers raises concerns of Big Brother | The Asahi  Shimbun: Breaking News, Japan News and Analysis

บทสรุป ถึงเวลาที่ไทยต้องเริ่ม “การต่อสู้ในฤดูใบไม้ผลิ” ของตัวเอง

ปรากฏการณ์ ขึ้นเงินเดือนในญี่ปุ่น 2 ปีซ้อน คือผลลัพธ์ของการต่อสู้อย่างยาวนานและความร่วมมือของทุกภาคส่วนเพื่อฉุดเศรษฐกิจให้พ้นจากหล่มโคลนแห่งภาวะเงินฝืด มันแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างค่าจ้างที่ฝังรากลึกมานานนั้น “เป็นไปได้”

สำหรับประเทศไทย เรื่องนี้คือสัญญาณเตือนว่าเราไม่สามารถปล่อยให้ปัญหาค่าแรงต่ำกัดกร่อนศักยภาพของประเทศต่อไปได้อีกแล้ว ถึงเวลาที่เราต้องเริ่มต้น “ชุนโท” ในแบบฉบับของเราเอง การต่อสู้ที่ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเลขในสลิปเงินเดือน แต่เพื่อสร้างวงจรการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ที่จะนำพาประเทศไทยให้หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางไปสู่อนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคน

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *