ข่าวการตรวจพบผู้ป่วยโรคชิคุนกุนยา 8 รายล่าสุดในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ทางตอนใต้ของจีน อาจดูเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับใครหลายคน แต่สำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข นี่คือสัญญาณเตือนที่ดังขึ้นใกล้ชายแดนไทยอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยพาหะนำโรคชนิดเดียวกันคือ “ยุงลาย” และเส้นทางการเดินทางที่เชื่อมถึงกันอย่างง่ายดาย คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้น การระบาดในจีนครั้งนี้จะกลายเป็นคลื่นลูกใหม่ที่ซัดเข้าสู่ประเทศไทยหรือไม่? บทความนี้จะพาไปเจาะลึกสถานการณ์ ประเมินความเสี่ยงอย่างรอบด้าน พร้อมเปิดคู่มือการป้องกันและรับมือกับ “ไข้ปวดข้อยุงลาย” ที่ทุกคนต้องรู้ ก่อนที่มันจะมาเยือนบ้านของคุณ
เปิดสถานการณ์ เกิดอะไรขึ้นที่ “กว่างซีจ้วง”
ตามรายงานจากคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน (National Health Commission) ได้มีการยืนยันการพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสชิคุนกุนยาจำนวน 8 ราย ในพื้นที่ของเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีพรมแดนติดกับประเทศเวียดนาม และเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการคมนาคมที่สำคัญแห่งหนึ่งทางตอนใต้ของจีน การสอบสวนโรคเบื้องต้นชี้ว่าเป็นการติดเชื้อภายในพื้นที่ (Local Transmission) ซึ่งหมายความว่ามีประชากรยุงลายที่มีเชื้อไวรัสชิคุนกุนยาแพร่กระจายอยู่ในบริเวณดังกล่าวแล้ว
ทางการจีนได้ดำเนินมาตรการควบคุมโรคอย่างเข้มข้นทันที ประกอบด้วย
- การเฝ้าระวังผู้ป่วย ค้นหาผู้ป่วยที่มีอาการเข้าข่ายเพิ่มเติมในชุมชน
- การควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย รณรงค์กำจัดลูกน้ำยุงลายและพ่นสารเคมีเพื่อกำจัดยุงตัวเต็มวัย
- การให้ความรู้ประชาชน ประชาสัมพันธ์ข้อมูลเกี่ยวกับโรคและวิธีป้องกันตนเอง
การพบผู้ป่วย ชิคุนกุนยาในจีน ครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่า โรคติดต่อนำโดยแมลง ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเขตร้อนชื้นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกต่อไป แต่สามารถแพร่กระจายไปยังพื้นที่ใกล้เคียงที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมได้อย่างรวดเร็ว
รู้จัก “โรคชิคุนกุนยา” ให้ลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่ไข้ แต่คือความทรมานที่ข้อ
โรคชิคุนกุนยา (Chikungunya) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่มี “ยุงลายบ้าน” (Aedes aegypti) และ “ยุงลายสวน” (Aedes albopictus) เป็นพาหะนำโรค เช่นเดียวกับไข้เลือดออกและไวรัสซิกา ชื่อ “ชิคุนกุนยา” มาจากภาษามากอนดีในทวีปแอฟริกา แปลว่า “เดินตัวงอ” ซึ่งอธิบายถึงลักษณะอาการเด่นของผู้ป่วยได้อย่างชัดเจน
อาการของโรคชิคุนกุนยาเป็นอย่างไร?
หลังจากถูกยุงที่มีเชื้อกัดประมาณ 2-12 วัน ผู้ป่วยจะเริ่มแสดงอาการ ซึ่งแตกต่างจากไข้เลือดออกในบางประเด็นสำคัญ
- ไข้สูงฉับพลัน อุณหภูมิอาจสูงถึง 39-40 องศาเซลเซียส
- ปวดข้อรุนแรง นี่คืออาการเด่นที่สุด ผู้ป่วยจะปวดตามข้อเล็กๆ เช่น ข้อมือ ข้อนิ้ว ข้อเท้า อย่างรุนแรงจนเคลื่อนไหวลำบากหรือเดินตัวงอ
- ผื่นแดง อาจมีผื่นแดงขึ้นตามร่างกายคล้ายผื่นของโรคหัด
- อาการอื่นๆ อาจมีอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ตาแดง และคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย
ข้อแตกต่างสำคัญจากไข้เลือดออก โรคชิคุนกุนยาไม่ทำให้เกิดภาวะช็อกหรือเลือดออกรุนแรงจนเสียชีวิตเหมือนไข้เลือดออก แต่ความทุกข์ทรมานจากอาการปวดข้ออาจคงอยู่นานเป็นสัปดาห์ เดือน หรือในบางรายอาจนานเป็นปี กลายเป็นโรคปวดข้ออักเสบเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมหาศาล
จากกว่างซีจ้วงถึงไทย ประเมินความเสี่ยงผ่านเส้นทางการเดินทาง
แม้กว่างซีจ้วงจะไม่ได้มีพรมแดนติดกับไทยโดยตรง แต่ความเชื่อมโยงทางภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถอยู่นอกวงจรความเสี่ยงนี้ได้
- การเดินทางทางอากาศ มีเที่ยวบินตรงและเที่ยวบินเชื่อมต่อระหว่างเมืองหลักในกว่างซีจ้วง (เช่น หนานหนิง) กับกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ของไทย
- การเดินทางทางบก เส้นทาง R3A และ R9 ในแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridor) เชื่อมจีนตอนใต้ผ่านลาวมายังไทย เป็นเส้นทางขนส่งสินค้าและนักท่องเที่ยวที่สำคัญ
- พาหะนำโรคที่ไม่ต้องใช้วีซ่า ยุงลายที่มีเชื้อสามารถเดินทางข้ามพรมแดนมากับยานพาหนะต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ รถบรรทุก หรือแม้แต่เครื่องบิน
ดังนั้น การที่ผู้ติดเชื้อที่ยังไม่แสดงอาการเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย หรือการที่ยุงลายติดเชื้อเล็ดลอดเข้ามา จึงเป็นความเสี่ยงที่หน่วยงานสาธารณสุขชายแดนและด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
มองย้อนดูบ้านเรา สถานการณ์ “โรคชิคุนกุนยา” ในประเทศไทย
ความจริงที่ต้องยอมรับคือ ประเทศไทยเป็นพื้นที่ระบาด (Endemic Area) ของโรคชิคุนกุนยาอยู่แล้ว กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานสถานการณ์ผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยข้อมูลล่าสุด (อ้างอิงข้อมูลสมมติ ณ เดือนสิงหาคม 2568) พบว่า
- จำนวนผู้ป่วยสะสม ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 15 สิงหาคม 2568 มีรายงานผู้ป่วยโรคชิคุนกุนยาทั่วประเทศแล้วกว่า 3,500 ราย
- พื้นที่เสี่ยงชิคุนกุนยาในไทย จังหวัดทางภาคใต้ยังคงเป็นพื้นที่ที่มีอัตราป่วยสูงสุดอย่างต่อเนื่อง ตามมาด้วยบางจังหวัดในภาคกลางและภาคตะวันออก
- แนวโน้ม จำนวนผู้ป่วยมักจะสูงขึ้นในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยุงลายเพาะพันธุ์ได้ดี
ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่า เรามี “ทุนเดิม” ของโรคและพาหะนำโรคอยู่แล้ว การมีเชื้อจากภายนอกประเทศเข้ามาเพิ่มเติม อาจทำให้สถานการณ์การระบาดในประเทศรุนแรงยิ่งขึ้น หรือเกิดการระบาดในพื้นที่ที่ไม่เคยพบผู้ป่วยมาก่อน
เกราะป้องกันที่ดีที่สุด มาตรการเชิงรุกสำหรับประชาชนและชุมชน
การต่อสู้กับโรคชิคุนกุนยาและโรคอื่นๆ ที่มียุงลายเป็นพาหะ ไม่สามารถพึ่งพาภาครัฐได้เพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในระดับครัวเรือนและชุมชน
วิธีป้องกันยุงลายกัด (สำหรับบุคคล)
- ทายากันยุง ใช้ผลิตภัณฑ์ทากันยุงที่มีส่วนผสมของ DEET, Icaridin หรือ IR3535 ตามคำแนะนำบนฉลาก
- สวมเสื้อผ้าให้มิดชิด ใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่ในบริเวณที่มียุงชุกชุม
- นอนในมุ้ง หรือห้องที่มีมุ้งลวดป้องกันยุง โดยเฉพาะในเวลากลางวันซึ่งเป็นเวลาที่ยุงลายออกหากิน
- หลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยง หากไม่จำเป็น ควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปในบริเวณที่รกทึบ อับชื้น หรือแหล่งน้ำขัง
การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย (สำหรับบ้านและชุมชน)
ยึดหลัก “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” (ไข้เลือดออก, ชิคุนกุนยา, ซิกา) ของกรมควบคุมโรค
- เก็บบ้าน ให้ปลอดโปร่ง ไม่ให้ยุงลายเกาะพัก
- เก็บขยะ เศษภาชนะต่างๆ เช่น ขวด กระป๋อง ยางรถยนต์เก่า ต้องเก็บให้เรียบร้อยเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งน้ำขัง
- เก็บน้ำ ปิดฝาภาชนะเก็บน้ำให้มิดชิด เช่น โอ่ง ตุ่ม ถังน้ำ หรือเปลี่ยนน้ำในภาชนะเล็กๆ เช่น แจกัน จานรองกระถางต้นไม้ ทุก 7 วัน
บทสรุป ความตระหนักรู้คือวัคซีนที่ดีที่สุด
การระบาดของโรคชิคุนกุนยาในกว่างซีจ้วงของจีน คือเครื่องเตือนใจที่ชัดเจนว่าโลกไร้พรมแดนสำหรับโรคติดต่อ ความเสี่ยงไม่ได้อยู่ไกลตัว แต่พร้อมจะเดินทางมากับนักท่องเที่ยว สินค้า หรือแม้แต่ยุงตัวเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่บนรถบรรทุก
ถึงแม้ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันหรือยารักษาโรคชิคุนกุนยาโดยตรง (โรคชิคุนกุนยารักษาหายไหม? – หายได้ แต่เป็นการรักษาตามอาการ และบางรายอาจมีอาการปวดข้อเรื้อรัง) แต่วัคซีนที่ดีที่สุดที่เรามีในตอนนี้คือ “ความตระหนักรู้” และ “วินัย” ในการป้องกันตนเองและทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
การเฝ้าระวังสถานการณ์จากต่างประเทศ ควบคู่ไปกับการจัดการปัญหาภายในประเทศอย่างเข้มแข็ง คือยุทธศาสตร์สำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับความท้าทายของโรคติดต่อนำโดยแมลงได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ
แหล่งที่มาจาก : am2con