กรณีศึกษาล่าสุดจากสิงคโปร์ที่สั่งเรียกคืนชีสนุ่มชื่อดังจากฝรั่งเศสล็อตใหญ่ หลังตรวจพบการปนเปื้อนของเชื้อ “ลิสเตอเรีย โมโนไซโตจิเนส” ได้จุดประกายความกังวลด้านความปลอดภัยทางอาหารไปทั่วทั้งภูมิภาค คำถามสำคัญที่ดังก้องในใจผู้บริโภคชาวไทยคือ เรามีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด และชีสอันตรายเหล่านี้วางจำหน่ายในบ้านเราหรือไม่? บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจทุกมิติของสถานการณ์ ตั้งแต่ต้นตอของปัญหาในฝรั่งเศส มาตรการฉับไวในสิงคโปร์ ไปจนถึงการประเมินความเสี่ยงและแนวทางปฏิบัติสำหรับคนไทย เพื่อให้การบริโภคชีสนำเข้าครั้งต่อไปของคุณเปี่ยมด้วยความมั่นใจและปลอดภัยอย่างแท้จริง
เกิดอะไรขึ้นที่สิงคโปร์ สรุปเหตุการณ์เรียกคืนชีสครั้งสำคัญ
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานอาหารสิงคโปร์ (Singapore Food Agency – SFA) ได้ออกประกาศคำสั่งเร่งด่วนให้ผู้นำเข้าทำการเรียกคืนชีสนุ่ม (Soft Cheese) สองชนิดที่ผลิตจากนมที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์ (Unpasteurised Milk) ซึ่งนำเข้าจากประเทศฝรั่งเศส ได้แก่ Saint-Félicien และ Saint Marcellin การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากการแจ้งเตือนจากระบบเฝ้าระวังความปลอดภัยอาหารของสหภาพยุโรป (EU’s Rapid Alert System for Food and Feed – RASFF) ที่ตรวจพบการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย ลิสเตอเรีย โมโนไซโตจิเนส (Listeria monocytogenes) ในผลิตภัณฑ์ล็อตดังกล่าว
ตามแถลงการณ์ของ SFA การเรียกคืนครอบคลุมผลิตภัณฑ์ที่มีข้อมูลระบุวันหมดอายุเฉพาะเจาะจง และได้มีการระงับการจำหน่ายชีสล็อตที่มีปัญหาทั้งหมดในทันที พร้อมทั้งเตือนประชาชนที่ได้ซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไปแล้วไม่ให้บริโภคโดยเด็ดขาด นี่คือมาตรการเชิงรุกที่สะท้อนให้เห็นถึงความเข้มงวดด้านความปลอดภัยทางอาหารของสิงคโปร์ ซึ่งให้ความสำคัญกับการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นอันดับแรก
เหตุการณ์ สิงคโปร์เรียกคืนชีส ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ข่าวท้องถิ่น แต่เป็นสัญญาณเตือนภัยระดับนานาชาติที่แสดงให้เห็นว่า แม้แต่ผลิตภัณฑ์จากประเทศที่ขึ้นชื่อด้านอาหารอย่างฝรั่งเศส ก็ยังสามารถเกิดข้อผิดพลาดในกระบวนการผลิตที่ส่งผลกระทบร้ายแรงได้
เชื้อลิสเตอเรีย “ภัยเงียบ” ในจานโปรดที่อันตรายกว่าที่คิด
หลายคนอาจไม่คุ้นเคยกับชื่อของ เชื้อแบคทีเรียลิสทีเรีย แต่แท้จริงแล้ว นี่คือเชื้อโรคที่สามารถก่อให้เกิดการเจ็บป่วยรุนแรงที่เรียกว่า โรคลิสเทอริโอซิส (Listeriosis) ได้ โดยเชื้อชนิดนี้มีความพิเศษคือสามารถเจริญเติบโตได้แม้ในอุณหภูมิต่ำของตู้เย็น ซึ่งเป็นแหล่งที่เชื้อแบคทีเรียชนิดอื่นมักจะหยุดการเจริญเติบโต
แหล่งที่พบเชื้อ
- ดิน, น้ำ และมูลสัตว์
- เนื้อสัตว์ดิบ, ผักผลไม้ที่ไม่ล้างให้สะอาด
- ผลิตภัณฑ์นมที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์ โดยเฉพาะ ชีสนุ่ม
- อาหารแปรรูป เช่น ฮอตด็อก, เนื้อเดลี่ (Deli Meats)
อาการติดเชื้อลิสเตอเรีย สำหรับคนทั่วไปที่มีสุขภาพแข็งแรง การติดเชื้ออาจไม่แสดงอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อยคล้ายไข้หวัด เช่น มีไข้ ปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ หรือท้องเสีย แต่อาการเหล่านี้มักจะหายได้เอง
อย่างไรก็ตาม สำหรับกลุ่มเสี่ยง เชื้อลิสเตอเรียสามารถทวีความรุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
กลุ่มเสี่ยงสูงที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
- หญิงตั้งครรภ์ การติดเชื้อในหญิงตั้งครรภ์อาจมีอาการไม่รุนแรง แต่เชื้อสามารถผ่านรกไปยังทารกในครรภ์ได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การแท้ง, การคลอดก่อนกำหนด, ทารกเสียชีวิตในครรภ์ หรือทารกแรกเกิดติดเชื้ออย่างรุนแรง นี่คือเหตุผลสำคัญที่มักมีคำถามว่า คนท้องกินชีสนุ่มได้หรือไม่ ซึ่งคำตอบโดยทั่วไปคือควรหลีกเลี่ยงชีสที่ทำจากนมที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์
- ผู้สูงอายุ (อายุ 65 ปีขึ้นไป) ระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลงตามวัย ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อที่รุนแรงและลุกลามได้ง่าย
- ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยมะเร็ง, ผู้ติดเชื้อ HIV, ผู้ป่วยเบาหวาน หรือผู้ที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน
ในกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ เชื้อลิสเตอเรียสามารถลุกลามไปยังระบบประสาท ทำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis), สมองอักเสบ (Encephalitis) หรือภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) ซึ่งมีอัตราการเสียชีวิตสูง
สถานการณ์ในประเทศไทย เราปลอดภัยจาก “ชีสปนเปื้อนเชื้อลิสเตอเรีย” หรือไม่?
หลังจากข่าวการเรียกคืนชีสในสิงคโปร์แพร่ออกไป คำถามสำคัญคือ ชีสนำเข้าจากฝรั่งเศส ยี่ห้อและล็อตเดียวกันนี้ ถูกนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยหรือไม่?
จากการตรวจสอบเบื้องต้นกับฐานข้อมูลของ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และผู้นำเข้ารายใหญ่ ยังไม่พบการยืนยันว่ามีชีสล็อตเดียวกับที่มีปัญหาถูกนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังคงต้องใช้ความระมัดระวัง เนื่องจากอาจมีการนำเข้าผ่านช่องทางอื่นๆ หรือมีผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตเดียวกันแต่คนละล็อตวางจำหน่ายอยู่
มาตรการของ อย. ไทย
- การเฝ้าระวังที่ด่านนำเข้า อย. มีระบบการสุ่มตรวจสินค้าอาหารนำเข้าที่มีความเสี่ยง รวมถึงผลิตภัณฑ์นมและชีส
- การติดตามข้อมูลข่าวสาร อย. ติดตามการแจ้งเตือนภัยด้านความปลอดภัยอาหารจากเครือข่ายนานาชาติ เช่น RASFF ของสหภาพยุโรป และเครือข่ายความปลอดภัยอาหารระหว่างประเทศ (INFOSAN)
- การให้ความรู้ผู้บริโภค มีการประชาสัมพันธ์ข้อมูลเกี่ยวกับเชื้อโรคในอาหารและวิธีป้องกันอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าปัจจุบันจะยังไม่มีรายงานการพบ ชีสปนเปื้อนเชื้อลิสเตอเรีย ที่เป็นข่าวในไทย แต่ผู้บริโภคไม่ควรประมาท การมีความรู้และรู้จักเลือกซื้อคือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด
คู่มือฉบับสมบูรณ์ เลือกซื้อและบริโภคชีสอย่างไรให้ปลอดภัย 100%
เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้บริโภคชาวไทย เราได้รวบรวมแนวทางปฏิบัติที่สามารถทำได้ง่ายๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากการบริโภคชีสนำเข้า
- อ่านฉลากอย่างละเอียดก่อนซื้อ
- “Pasteurised” คือคำสำคัญ มองหาคำว่า “ทำจากนมพาสเจอร์ไรส์” (Made from pasteurised milk) บนฉลากเสมอ การพาสเจอร์ไรส์คือกระบวนการใช้ความร้อนเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตราย รวมถึงลิสเตอเรีย
- หลีกเลี่ยง “Unpasteurised” หรือ “Raw Milk” หากบนฉลากระบุว่าทำจาก “นมดิบ” (Raw Milk / Lait Cru) หรือ “นมที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์” (Unpasteurised Milk) โดยเฉพาะถ้าคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรหลีกเลี่ยงชีสชนิดนั้น
- ตรวจสอบวันหมดอายุ ควรเลือกซื้อสินค้าที่ยังเหลือวันหมดอายุอีกนาน และสังเกตสภาพบรรจุภัณฑ์ว่าสมบูรณ์ ไม่มีการฉีกขาดหรือบวมผิดปกติ
- รู้จักประเภทของชีส
- ชีสแข็ง (Hard Cheeses) เช่น พาร์มีซาน (Parmesan), เชดดาร์ (Cheddar) มีความเสี่ยงต่ำกว่ามาก เนื่องจากมีความชื้นน้อยและมีความเป็นกรดสูง ไม่เหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อ
- ชีสนุ่ม (Soft Cheeses) เช่น บรี (Brie), กามองแบร์ (Camembert), เฟต้า (Feta) และชีสสีฟ้า (Blue Cheeses) มีความเสี่ยงสูงกว่า โดยเฉพาะหากทำจากนมที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์
- การเก็บรักษาที่ถูกวิธี
- เก็บในตู้เย็นทันที หลังจากซื้อมาแล้ว ควรนำชีสเก็บในตู้เย็นช่องธรรมดา (อุณหภูมิต่ำกว่า 4 องศาเซลเซียส) ทันที
- แยกเก็บอย่างเหมาะสม ห่อชีสด้วยกระดาษไขสำหรับชีส (Cheese Paper) หรือพลาสติกแรป แล้วเก็บในภาชนะที่ปิดสนิท เพื่อป้องกันการปนเปื้อนข้ามไปยังอาหารอื่น
- ปฏิบัติตามคำแนะนำ “ควรบริโภคภายใน” ชีสนุ่มหลายชนิด เมื่อเปิดแล้วควรบริโภคให้หมดภายใน 3-5 วัน
- สุขอนามัยในการรับประทาน
- ล้างมือก่อนและหลังสัมผัสชีส
- ใช้อุปกรณ์ที่สะอาด มีดและเขียงที่ใช้หั่นชีสควรสะอาด และแยกจากอุปกรณ์ที่ใช้กับเนื้อสัตว์ดิบ
บทสรุปและอนาคตของความปลอดภัยอาหารนำเข้า
เหตุการณ์ ชีสปนเปื้อนเชื้อลิสเตอเรีย ในสิงคโปร์เป็นเครื่องย้ำเตือนว่า โลกาภิวัตน์ของแหล่งอาหารนำมาซึ่งความหลากหลาย แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่มองไม่เห็น การพึ่งพามาตรการจากภาครัฐเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ แต่พลังที่สำคัญที่สุดอยู่ในมือของผู้บริโภคทุกคน
การสร้าง “วัฒนธรรมการอ่านฉลาก” การมีความรู้ความเข้าใจในประเภทของอาหารที่บริโภค และการเรียกร้องความโปร่งใสจากผู้นำเข้าและผู้ผลิต คือกุญแจสำคัญที่จะยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางอาหารในประเทศไทยให้สูงขึ้น
แม้ว่าวันนี้จะยังไม่มีสัญญาณอันตรายโดยตรงในประเทศไทย แต่การเรียนรู้จากบทเรียนของประเทศเพื่อนบ้านและเตรียมพร้อมรับมือ คือแนวทางของ “ผู้บริโภคยุคใหม่” ที่ไม่เพียงแต่ใส่ใจในรสชาติ แต่ยังให้ความสำคัญสูงสุดกับสุขภาพและความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว
แหล่งที่มาจาก : am2con