สมรภูมิการค้าโลกกำลังเปิดแนวรบใหม่ที่ร้อนระอุ เมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศเดินหน้ากระบวนการไต่สวนเพื่อใช้ มาตรการต่อต้านการทุ่มตลาด (Anti-Dumping: AD) กับสินค้าเหล็กกล้าบางประเภทจากจีนและเกาหลีใต้ การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการปกป้อง อุตสาหกรรมเหล็กญี่ปุ่น เท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งชี้ว่าสงครามการค้าเหล็กกำลังลุกลามบานปลาย และอาจสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่มาถึงประเทศไทย บทความนี้จะวิเคราะห์เจาะลึกถึงเบื้องหลังการที่ ญี่ปุ่นไต่สวนเหล็กทุ่มตลาด ครั้งนี้ ว่าเหตุใดจึงเกิดขึ้นในตอนนี้ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับมหาอำนาจเหล็กแห่งเอเชีย และที่สำคัญที่สุดคือ “ระเบิดเวลา” ที่อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการและอนาคตของอุตสาหกรรมเหล็กไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เสียงร้องจากผู้ผลิตญี่ปุ่น เมื่อยักษ์ใหญ่ไม่อาจทน
การตัดสินใจของ กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมญี่ปุ่น (METI) ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่เป็นผลมาจากแรงกดดันและการร้องเรียนอย่างต่อเนื่องจากสมาคมผู้ผลิตเหล็กและบริษัทชั้นนำของประเทศ นำโดย Nippon Steel และ JFE Steel ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น พวกเขากล่าวหาว่าผู้ผลิตจากจีนและเกาหลีใต้ได้ส่งออก เหล็กนำเข้าจากจีน เกาหลีใต้ มายังญี่ปุ่นในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนการผลิตหรือราคาที่ขายในประเทศของตนเองอย่างมีนัยสำคัญ
สินค้าเป้าหมายและข้อกล่าวหา สินค้าที่อยู่ในเป้าหมายหลักของการไต่สวนครั้งนี้คือ เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี (Galvanized Steel Sheet) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มและใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมยานยนต์, เครื่องใช้ไฟฟ้า และการก่อสร้าง ข้อกล่าวหาหลักคือ
- การทุ่มตลาด (Dumping) ผู้ผลิตจีนและเกาหลีใต้ขายสินค้าในญี่ปุ่นในราคาที่ “ไม่เป็นธรรม” ซึ่งต่ำกว่าราคาตลาดปกติ (Normal Value) เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด
- ความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญ (Material Injury) การกระทำดังกล่าวได้สร้างความเสียหายโดยตรงต่ออุตสาหกรรมเหล็กญี่ปุ่น ทำให้ผู้ผลิตในประเทศต้องลดราคาลงเพื่อแข่งขัน ส่งผลให้อัตรากำไรลดลงอย่างมาก และบางรายอาจต้องลดกำลังการผลิตหรือเลิกจ้างพนักงาน
ทำไมญี่ปุ่นถึงกล่าวหาจีนว่าทุ่มตลาดเหล็ก? คำตอบนั้นซับซ้อนกว่าแค่เรื่องราคา แต่ยังเชื่อมโยงไปถึงปัญหาใหญ่คือ อุปทานเหล็กล้นตลาด (Overcapacity) ของจีน ซึ่งมีกำลังการผลิตมหาศาลเกินความต้องการใช้ในประเทศ ทำให้ต้องหาทางระบายออกสู่ตลาดโลกในทุกวิถีทาง แม้จะต้องขายในราคาที่กดต่ำกว่าทุนก็ตาม
ไม่ใช่แค่ญี่ปุ่น ภาพใหญ่ของ “สงครามการค้า” เหล็กทั่วโลก
การเคลื่อนไหวของญี่ปุ่นครั้งนี้เป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งของ สงครามการค้า เหล็กที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปได้ใช้มาตรการ AD และมาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duties CVD) กับเหล็กจากจีนและประเทศอื่นๆ มานานหลายปีแล้ว การที่ญี่ปุ่นซึ่งปกติมักจะดำเนินนโยบายการค้าอย่างระมัดระวัง ต้องหันมาใช้ยาแรงในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าสถานการณ์เลวร้ายเกินกว่าจะนิ่งเฉยได้อีกต่อไป
ขั้นตอนการไต่สวน AD ของญี่ปุ่นเป็นอย่างไร? กระบวนการนี้มีความซับซ้อนและใช้เวลา โดยทั่วไปจะประกอบด้วย
- การยื่นคำร้อง ผู้ผลิตในประเทศรวบรวมหลักฐานและยื่นคำร้องต่อ METI
- การเปิดไต่สวน METI ประกาศเปิดการไต่สวนอย่างเป็นทางการ และเริ่มรวบรวมข้อมูลจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ผลิตในประเทศ ผู้นำเข้า และผู้ผลิตจากประเทศที่ถูกกล่าวหา
- การพิจารณาเบื้องต้น METI จะวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตัดสินเบื้องต้นว่ามีการทุ่มตลาดและความเสียหายเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ซึ่งอาจมีการใช้มาตรการชั่วคราว (Provisional Measures) เช่น การเรียกเก็บอากร AD ชั่วคราว
- การไต่สวนขั้นสุดท้าย เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายโต้แย้งและให้ข้อมูลเพิ่มเติม
- การตัดสินใจขั้นสุดท้าย หากพบว่ามีความผิดจริง จะมีการประกาศใช้มาตรการ AD อย่างเป็นทางการ โดยกำหนดเป็นอัตราร้อยละของราคาสินค้า ซึ่งจะมีผลบังคับใช้เป็นเวลา 5 ปี (และสามารถต่ออายุได้)
ผลกระทบระลอกใหม่ เมื่อ “เหล็กทะลัก” เปลี่ยนทิศทางมายังอาเซียนและไทย
นี่คือประเด็นที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้อ่านชาวไทย เมื่อตลาดใหญ่อย่างญี่ปุ่นเริ่มปิดประตูใส่ เหล็กนำเข้าจากจีน เกาหลีใต้ คำถามสำคัญคือ เหล็กจำนวนมหาศาลเหล่านี้จะไปที่ไหนต่อ? คำตอบที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคือภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงประเทศไทย ที่ยังมีมาตรการป้องกันไม่เข้มแข็งเท่ากับสหรัฐฯ, สหภาพยุโรป หรือญี่ปุ่น
ความเสี่ยงและผลกระทบเหล็กทุ่มตลาดต่ออุตสาหกรรมไทย อุตสาหกรรมเหล็กของไทยซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของภาคการก่อสร้างและอุตสาหกรรมการผลิตอื่นๆ กำลังเผชิญความเสี่ยงหลายด้าน
- การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น ผู้ผลิตเหล็กไทยจะต้องเผชิญกับการแข่งขันจากเหล็กนำเข้าราคาถูกที่ทะลักเข้ามามากขึ้น ซึ่งจะกดดันให้ต้องลดราคาขายและส่งผลกระทบต่อผลกำไรโดยตรง
- การลดลงของส่วนแบ่งตลาด ผู้ผลิตในประเทศอาจสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับสินค้านำเข้าราคาถูก ซึ่งอาจนำไปสู่การลดกำลังการผลิตและส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในอุตสาหกรรม
- ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่อง แม้ผู้บริโภคเหล็ก (เช่น ผู้รับเหมาก่อสร้าง, โรงงานผลิตรถยนต์) อาจได้ประโยชน์จากราคาเหล็กที่ถูกลงในระยะสั้น แต่ในระยะยาว หากผู้ผลิตเหล็กในประเทศล้มหายตายจากไป จะทำให้ประเทศต้องพึ่งพาการนำเข้าอย่างสมบูรณ์ ขาดอำนาจต่อรอง และเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาในตลาดโลก
- การหลบเลี่ยงมาตรการ (Circumvention) มีความเสี่ยงที่ผู้ผลิตต่างชาติจะใช้ไทยเป็นฐานในการแปรรูปสินค้าเล็กน้อยเพื่อ “สวมสิทธิ์” เป็นสินค้าไทยแล้วส่งออกต่อไปยังประเทศที่สาม เพื่อหลบเลี่ยงมาตรการ AD ที่ประเทศเหล่านั้นมีต่อประเทศต้นทาง
เสียงจากผู้เชี่ยวชาญและแนวโน้มราคาในอนาคต
นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมมองว่าการเคลื่อนไหวของญี่ปุ่นจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อ ราคาเหล็กในเอเชียจะเป็นอย่างไรต่อไป นั้น แนวโน้มในระยะสั้นคือราคาอาจปรับตัวลดลงในตลาดที่ไม่มีมาตรการป้องกันที่แข็งแกร่งพอ เนื่องจากภาวะอุปทานล้นตลาดจะรุนแรงขึ้น แต่ในระยะยาว หากหลายประเทศเริ่มใช้มาตรการ AD ตามญี่ปุ่นไป ตลาดจะถูกแบ่งส่วน (Fragmented) มากขึ้น และราคาในแต่ละภูมิภาคอาจแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเหล็กไทยได้ออกมาแสดงความกังวลและเรียกร้องให้ภาครัฐของไทยเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมที่จะใช้มาตรการ AD เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ หากพบว่ามีการนำเข้าที่ไม่เป็นธรรมเพิ่มสูงขึ้นจริง
บทสรุป (Conclusion)
การที่ ญี่ปุ่นไต่สวนเหล็กทุ่มตลาด จากจีนและเกาหลีใต้ คือสัญญาณที่ชัดเจนว่าโลกกำลังเข้าสู่ยุคของการกีดกันทางการค้าที่เข้มข้นขึ้น โดยมีอุตสาหกรรมเหล็กเป็นสมรภูมิสำคัญ มันไม่ใช่แค่เรื่องราวของสามประเทศ แต่เป็นโดมิโนตัวล่าสุดที่อาจล้มทับมาถึงอุตสาหกรรมของไทยได้ทุกเมื่อ
สำหรับประเทศไทย นี่คือบททดสอบสำคัญของภาครัฐและผู้ประกอบการในการรับมือกับผลกระทบข้างเคียงจากสงครามการค้าของยักษ์ใหญ่ การเฝ้าระวังข้อมูลการนำเข้า การเตรียมความพร้อมในการใช้เครื่องมือทางการค้าเพื่อปกป้องตลาดอย่างทันท่วงที และการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตในประเทศ คือยุทธศาสตร์สำคัญที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมเหล็กไทยรอดพ้นจากระเบิดเวลาลูกนี้ และสามารถยืนหยัดท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกต่อไปได้
แหล่งที่มาจาก : am2con