กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือ เพนตากอน กำลัง “ทุ่มสุดตัว” เพื่อเร่งปรับทิศทางทรัพยากรและแสนยานุภาพทางการทหารทั้งหมดมายังภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ท่าทีล่าสุดที่แข็งกร้าวยิ่งขึ้นนี้คือการประกาศิตอย่างเป็นทางการว่า ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ได้ перейшлоจากหน้ากระดาษสู่การปฏิบัติการอย่างเต็มรูปแบบแล้ว โดยมีเป้าหมายชัดเจนเพื่อสกัดกั้นและรับมือกับสิ่งที่วอชิงตันมองว่าเป็น ภัยคุกคามจีน ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่นี้ไม่เพียงแต่ทำให้ ความมั่นคงอินโดแปซิฟิก ร้อนระอุขึ้น แต่ยังส่งแรงสั่นสะเทือนและ “แรงบีบ” มาถึงใจกลางอาเซียน ทำให้ประเทศไทยถูกผลักเข้าสู่ทางแพร่งเชิงยุทธศาสตร์ที่ยากลำบากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยใหม่
สัญญาณล่าสุดจากเพนตากอน “เดิมพันทั้งหมด” บนอินโด-แปซิฟิก
ในช่วง 24-48 ชั่วโมงที่ผ่านมา โฆษกเพนตากอนได้ออกมายืนยันกับสื่อมวลชนด้วยถ้อยคำที่ชัดเจนว่า “เรากำลังทำทุกวิถีทางในฐานะกระทรวง เพื่อปรับทิศทางมายัง مسرح العمليات (theater) นี้ และทำให้แน่ใจว่าเรากำลังตอบโต้ภัยคุกคามจากจีน” คำประกาศนี้สอดรับกับท่าทีของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ที่ระบุมาตลอดว่าอินโด-แปซิฟิกคือ “ภูมิภาคที่มีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง” (priority theater)
การส่งสัญญาณที่หนักแน่นนี้บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ จากเดิมที่เป็นเพียงการวางยุทธศาสตร์ระยะยาว ไปสู่การปฏิบัติการที่เร่งด่วนและเข้มข้นขึ้น โดยมีปัจจัยเร่งคือ
- การประเมินภัยคุกคามที่เปลี่ยนไป หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ประเมินว่าจีนกำลังเร่งพัฒนากองทัพให้ทันสมัยในทุกมิติ ทั้ง นิวเคลียร์, ไซเบอร์, อวกาศ และกองทัพเรือ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
- สถานการณ์ช่องแคบไต้หวัน ความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นรอบเกาะไต้หวันเป็นหนึ่งในตัวเร่งปฏิกิริยาที่สำคัญที่สุด
- การแข่งขันทางเทคโนโลยี การต่อสู้เพื่อเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีสำคัญแห่งอนาคต เช่น AI, 5G และเซมิคอนดักเตอร์ กลายเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงแห่งชาติ
ถอดรหัส “ภัยคุกคามจีน” ทำไมวอชิงตันถึงต้องเคลื่อนไหว?
ในมุมมองของสหรัฐฯ การผงาดขึ้นของจีนไม่ใช่การแข่งขันทางเศรษฐกิจธรรมดา แต่เป็นการท้าทายระเบียบโลกที่นำโดยสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน รายงานของเพนตากอนหลายฉบับในช่วงปีที่ผ่านมาได้ชี้ให้เห็นถึงความกังวลในหลายมิติ
- การขยายแสนยานุภาพทางทหาร จีนทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อสร้างกองทัพเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ในเชิงจำนวนลำ) พัฒนาเครื่องบินขับไล่สเตลธ์รุ่นใหม่อย่าง J-20 และ J-35 รวมถึงเครื่องบินทิ้งระเบิดพิสัยไกล H-20 และขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อจำกัดอิทธิพลของกองทัพสหรัฐฯ ในภูมิภาค (Anti-Access/Area Denial – A2/AD)
- พฤติกรรมในทะเลจีนใต้ การสร้างเกาะเทียมและติดตั้งอุปกรณ์ทางทหารในพื้นที่พิพาทของ ทะเลจีนใต้ รวมถึงการใช้กองเรือยามฝั่งและกองเรือประมงติดอาวุธ (maritime militia) เพื่อกดดันประเทศเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์และเวียดนาม ถูกมองว่าเป็นการพยายามเปลี่ยนแปลงสถานะปัจจุบัน (status quo) ด้วยกำลัง
- ยุทธศาสตร์ “รวมชาติ” กับไต้หวัน ผู้นำจีนประกาศชัดเจนถึงเป้าหมายการรวมชาติกับไต้หวัน และไม่ปฏิเสธการใช้กำลังหากจำเป็น ซึ่งพลเรือเอก จอห์น อากีลีโน ผู้บัญชาการกองกำลังสหรัฐฯ ภาคพื้นอินโด-แปซิฟิก (INDOPACOM) เคยให้การต่อสภาคองเกรสว่า กองทัพจีนได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อมบุกไต้หวันภายในปี 2027
Pacific Deterrence Initiative (PDI) เมื่อ “เงิน” คือเครื่องยืนยันยุทธศาสตร์
เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่น เพนตากอน ได้ผลักดันงบประมาณก้อนโตภายใต้โครงการ Pacific Deterrence Initiative (PDI) ซึ่งในปีงบประมาณ 2025 มีมูลค่าสูงถึง 9.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ งบประมาณก้อนนี้ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือการแปลง ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ให้กลายเป็นความจริงที่จับต้องได้ โดยจะถูกนำไปใช้ในด้านต่างๆ ดังนี้
- ยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาและเสริมความแข็งแกร่งของฐานทัพสหรัฐฯ ในญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, กวม และออสเตรเลีย
- การวางกำลังที่กระจายตัว ลดการพึ่งพาฐานทัพขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่ง และกระจายกำลังพลและยุทโธปกรณ์ไปยังฐานขนาดเล็กที่กระจัดกระจายทั่วภูมิภาค เพื่อให้รอดพ้นจากการโจมตีระลอกแรกได้ดีขึ้น
- การซ้อมรบร่วมกับพันธมิตร เพิ่มความถี่และความซับซ้อนของการซ้อมรบร่วมกับ พันธมิตรสหรัฐ เช่น การซ้อมรบ Cobra Gold กับไทย, Balikatan กับฟิลิปปินส์ และ Talisman Sabre กับออสเตรเลีย
- การลงทุนด้านเทคโนโลยี พัฒนาและจัดหาเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ระบบป้องกันขีปนาวุธ, โดรนไร้คนขับ, และเครือข่ายบัญชาการและควบคุมที่เชื่อมโยงพันธมิตรเข้าด้วยกัน
“เครือข่ายพันธมิตร” ที่ซับซ้อนขึ้น จาก AUKUS ถึงแรงกดดัน 5% GDP
หัวใจสำคัญของ ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก คือการสร้าง “เครือข่ายพันธมิตรที่ถักทอเข้าด้วยกัน” (a latticework of alliances and partnerships) เพื่อปิดล้อมและสร้างแรงกดดันต่อจีน โดยมีกลไกที่น่าจับตาคือ
- AUKUS ข้อตกลงไตรภาคีระหว่าง ออสเตรเลีย, สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ เพื่อส่งมอบเทคโนโลยีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ให้ออสเตรเลีย ซึ่งถูกมองว่าเป็นการยกระดับพันธมิตรแองโกล-แซกซอนเพื่อคานอำนาจจีนในทะเลโดยตรง
- Quad (จตุภาคี) ความร่วมมือ 4 ฝ่ายระหว่าง สหรัฐฯ, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย และอินเดีย ที่เริ่มต้นจากประเด็นด้านมนุษยธรรม แต่ปัจจุบันได้ขยายขอบเขตครอบคลุมความมั่นคงทางทะเล, เทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐานอย่างชัดเจน
- แรงกดดันด้านงบประมาณกลาโหม สหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณกดดันให้พันธมิตรในเอเชีย โดยเฉพาะญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ให้เพิ่มงบประมาณกลาโหมของตนเองให้เทียบเท่ามาตรฐาน NATO ซึ่งอาจสูงถึง 5% ของ GDP ซึ่งสร้างความอึดอัดใจให้แก่ประเทศเหล่านี้อย่างมาก
“นี่คือยุทธศาสตร์การแบ่งปันภาระ (burden-sharing) ที่สหรัฐฯ เคยใช้กับยุโรป แต่การนำมาใช้ในเอเชียนั้นซับซ้อนกว่ามาก เพราะทุกประเทศในภูมิภาคนี้มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ลึกซึ้งกับจีน” ดร. อีวาน ลักซ์มานา นักวิเคราะห์จากสถาบันยุทธศาสตร์ศึกษาในสิงคโปร์ให้ความเห็น “มันคือการบีบให้ต้องเลือกข้าง ทั้งที่ไม่มีใครอยากเลือก”
ไทยอยู่ตรงไหน? วิเคราะห์ทางรอดในสมการมหาอำนาจ
สำหรับประเทศไทยซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีทั้งกับสหรัฐฯ (ในฐานะพันธมิตรนอกนาโต้ที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชีย) และจีน (ในฐานะคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด) การเร่งเครื่องของ ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ทำให้เราตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากอย่างยิ่ง
ประเด็นที่ต้องพิจารณา
- แรงกดดันทางการทูต ไทยจะถูกคาดหวังจากสหรัฐฯ ให้มีส่วนร่วมและแสดงจุดยืนที่ชัดเจนมากขึ้นต่อประเด็นความมั่นคงในภูมิภาค โดยเฉพาะเรื่อง ทะเลจีนใต้ ซึ่งขัดกับนโยบาย “ไผ่ลู่ลม” ที่ไทยยึดถือมาตลอด
- ผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับจีน การเอนเอียงไปทางสหรัฐฯ มากเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการลงทุนกับจีน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบัน
- การซ้อมรบ Cobra Gold การซ้อมรบร่วมประจำปีจะกลายเป็นเวทีที่มีนัยยะทางการเมืองสูงขึ้น สหรัฐฯ อาจต้องการยกระดับการซ้อมให้มุ่งเป้าไปที่การรับมือภัยคุกคามที่ซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งอาจสร้างความไม่พอใจให้แก่จีน
- AUKUS เกี่ยวข้องกับไทยอย่างไร แม้ไทยจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ AUKUS แต่การมีเรือดำน้ำนิวเคลียร์ปฏิบัติการในทะเลรอบบ้าน ย่อมส่งผลกระทบต่อสมดุลทางทหารในภูมิภาคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และทำให้การวางตัวของกองทัพเรือไทยซับซ้อนขึ้น
แล้วไทยจะวางตัวอย่างไรในความขัดแย้งสหรัฐ-จีน? นี่คือคำถามที่ผู้กำหนดนโยบายกำลังขบคิดอย่างหนัก นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าไทยมีทางเลือกที่จำกัดแต่ยังพอมีอยู่
- ยึดมั่นใน “ASEAN Centrality” ใช้ความเป็นแกนกลางของอาเซียนเป็นกันชนและเวทีในการส่งเสียงร่วมกันของประเทศขนาดกลางและเล็ก เพื่อเรียกร้องให้มหาอำนาจเคารพกฎกติการะหว่างประเทศและหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า
- การทูตเชิงรุก (Proactive Diplomacy) ไม่รอให้ถูกบีบ แต่ต้องสร้างบทบาทนำในประเด็นที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน เช่น ความมั่นคงทางไซเบอร์, การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, และความมั่นคงทางทะเลในมิติที่ไม่ใช่การทหาร
- รักษาดุลยภาพอย่างมีหลักการ สานต่อความร่วมมือทางทหารกับสหรัฐฯ ในระดับที่เหมาะสมเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ ขณะเดียวกันก็ต้องกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีนโดยยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง
บทสรุป (Conclusion)
การที่ เพนตากอน เดินหน้าเต็มกำลังกับ ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ได้ปิดฉากยุคแห่งการ “รอดูท่าที” ของประเทศในอาเซียนไปโดยปริยาย สมรภูมิการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีนได้เคลื่อนตัวมาอยู่ประชิดหน้าบ้านอย่างเต็มรูปแบบแล้วสำหรับประเทศไทย นี่คือความท้าทายครั้งใหญ่หลวงที่มาพร้อมกับ “แรงบีบ” จากทุกทิศทาง การดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบเดิมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป แต่จำเป็นต้องอาศัยความกล้าหาญในการตัดสินใจ, ความสุขุมในการดำเนินนโยบาย, และความชัดเจนในหลักการ เพื่อประคับประคอง “เรือรัฐนาวาไทย” ให้ผ่านพ้นคลื่นลมแห่งความขัดแย้งของมหาอำนาจ โดยรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติให้ได้มากที่สุดในโลกบทใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้น
แหล่งที่มาจาก : am2con