กรุงโซล, เกาหลีใต้ – บรรยากาศใจกลางกรุงโซลกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง หลังเกิดเหตุการณ์ “มือดี” โพสต์ข้อความขู่วางระเบิดอาคารล็อตเต้ เวิลด์ ทาวเวอร์ (Lotte World Tower) แลนด์มาร์กสำคัญและเป็นหนึ่งในตึกที่สูงที่สุดของประเทศ ส่งผลให้หน่วยปฏิบัติการพิเศษและทีมเก็บกู้วัตถุระเบิดของตำรวจเกาหลีใต้ต้องเข้าตรึงกำลังและตรวจสอบพื้นที่อย่างเร่งด่วน แม้ท้ายที่สุดจะยืนยันว่า “ไม่พบวัตถุต้องสงสัย” และสถานการณ์คลี่คลายลง แต่เหตุการณ์นี้ได้จุดประกายคำถามสำคัญที่ดังกว่าเสียงไซเรนของรถตำรวจ นั่นคือ สถานะความปลอดภัยสาธารณะของเกาหลีใต้กำลังถูกท้าทายโดย “คลื่นภัยคุกคามออนไลน์” ที่นับวันจะทวีความรุนแรงและส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวทั่วโลก รวมถึงชาวไทยที่หลงใหลในวัฒนธรรม K-Culture
บทความนี้จะไม่ได้หยุดอยู่แค่การรายงานเหตุการณ์ล่าสุด แต่จะเจาะลึกไปถึงแก่นของปัญหา วิเคราะห์รูปแบบของภัยคุกคามที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตรวจสอบมาตรการรับมือของทางการเกาหลีใต้ และที่สำคัญที่สุด คือการประเมินผลกระทบต่อความรู้สึกปลอดภัยของนักท่องเที่ยวไทย เพื่อตอบคำถามว่า “ไปเที่ยวเกาหลีใต้ยังปลอดภัยไหมในปี 2568?”
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์สร้างความปั่นป่วนเมื่อมีผู้ใช้งานนิรนามโพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มออนไลน์ คุกคามว่าจะก่อเหตุระเบิด ณ อาคารล็อตเต้ เวิลด์ ทาวเวอร์ ในกรุงโซล ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องระดมกำลังเข้าตรวจสอบอย่างละเอียดเป็นวงกว้าง ผลการตรวจสอบไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ และสถานการณ์ได้กลับสู่ภาวะปกติ อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกและมีแนวโน้มที่จะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย แต่มันคือภาพสะท้อนของ “วิกฤตความน่าเชื่อถือทางไซเบอร์” ที่เกาหลีใต้กำลังเผชิญ ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ตั้งแต่ความสงบสุขของประชาชนไปจนถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เป็นเส้นเลือดหลักของประเทศ
คลื่น “ก่อการร้ายไซเบอร์” ระลอกใหม่ที่ท้าทายเกาหลีใต้
หากมองย้อนกลับไป เหตุการณ์ ขู่วางระเบิดเกาหลีใต้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในช่วงปี 2023 ถึง 2024 ที่ผ่านมา มีรายงานเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นหลายสิบครั้ง โดยพุ่งเป้าไปที่สถานที่สำคัญทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสนามบิน, สถานีรถไฟ, อาคารรัฐสภา, ไปจนถึงศาลากลางของเมืองต่างๆ รูปแบบที่น่ากังวลคือ
- การก่อเหตุจากต่างประเทศ ผู้ก่อเหตุจำนวนมากใช้เทคโนโลยี VPN (Virtual Private Network) เพื่อปิดบังตัวตนและส่งอีเมลหรือโพสต์ข้อความมาจากต่างประเทศ ทำให้การสืบสวนติดตามทำได้ยากลำบาก
- เป้าหมายที่หลากหลาย การคุกคามไม่ได้จำกัดอยู่แค่สถานที่ราชการ แต่ขยายวงไปยังพื้นที่สาธารณะที่มีคนพลุกพล่าน เช่น ห้างสรรพสินค้า, โรงภาพยนตร์ และคอนเสิร์ตฮอลล์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเยือน
- แรงจูงใจที่คลุมเครือ แรงจูงใจของผู้ก่อเหตุมีตั้งแต่ความคึกคะนอง, ความไม่พอใจส่วนตัว, ไปจนถึงการสร้างความวุ่นวายโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน ทำให้การป้องกันเชิงรุกเป็นไปได้ยาก
เหตุการณ์เหล่านี้ แม้ส่วนใหญ่จะเป็นเพียงคำขู่ลวง (Hoax) แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นเป็นของจริง สำนักงานตำรวจแห่งชาติเกาหลี (Korean National Police Agency) ต้องทุ่มเททรัพยากรมหาศาล ทั้งกำลังคนและงบประมาณในการเข้าตรวจสอบทุกครั้ง ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุและลดทอนขีดความสามารถในการรับมือกับอาชญากรรมอื่นๆ
กรณีศึกษา สิงหาคม 2566 ปีแห่งการขู่ลวง
เดือนสิงหาคม 2566 ถือเป็นช่วงเวลาที่เกาหลีใต้เผชิญกับภัยคุกคามออนไลน์อย่างหนักหน่วงที่สุดครั้งหนึ่ง มีอีเมลขู่วางระเบิดหลายร้อยฉบับถูกส่งไปยังหน่วยงานราชการและเอกชนทั่วประเทศ โดยอ้างว่ามาจากกลุ่มการเมืองในต่างประเทศ ทำให้เกิดความโกลาหลเป็นวงกว้าง และแม้จะจับกุมผู้ต้องสงสัยได้บางส่วน แต่ก็แสดงให้เห็นถึงช่องโหว่ที่ “ใครก็ได้” สามารถสร้างความปั่นป่วนได้จากทุกที่ในโลก
ถอดรหัสปฏิบัติการตำรวจไซเบอร์ จากหน้าจอสู่การไล่ล่า “มือดี”
เมื่อเกิดเหตุ โพสต์ขู่ออนไลน์ ขึ้น ตำรวจเกาหลีใต้ มีขั้นตอนการรับมือที่เป็นระบบและชัดเจน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับสาธารณชน แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องทำงานแข่งกับเวลาและความซับซ้อนของโลกดิจิทัล
ขั้นตอนการรับมือภัยคุกคาม
- การประเมินความเสี่ยงทันที (Immediate Risk Assessment) ทันทีที่ได้รับแจ้ง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะประเมินความน่าเชื่อถือของคำขู่ โดยพิจารณาจากภาษาที่ใช้, แพลตฟอร์มที่โพสต์, และข้อมูลแวดล้อมอื่นๆ
- การส่งกำลังเข้าพื้นที่ (On-site Deployment) ไม่ว่าคำขู่จะน่าเชื่อถือเพียงใด ตำรวจจะส่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษ (Special Duty Team – SDT) และทีมเก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD) เข้าไปยังพื้นที่เป้าหมายเสมอ เพื่อทำการค้นหาและอพยพผู้คนหากจำเป็น
- การสืบสวนทางไซเบอร์ (Cyber Investigation) ขณะเดียวกัน ทีมสืบสวนอาชญากรรมไซเบอร์จะเริ่มทำงานทันทีเพื่อแกะรอยหาต้นตอของโพสต์หรืออีเมลนั้นๆ ซึ่งรวมถึงการประสานงานกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) และในบางกรณีต้องขอความร่วมมือจากตำรวจสากล (Interpol) หากพบว่าต้นทางมาจากต่างประเทศ
- การสื่อสารกับสาธารณะ (Public Communication) ตำรวจจะแถลงข้อมูลต่อสื่อมวลชนเป็นระยะ เพื่อลดความตื่นตระหนกและให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน
แม้จะมีกระบวนการที่รัดกุม แต่ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดคือการไล่ล่าตัวผู้กระทำผิดที่ใช้เทคโนโลยีเพื่ออำพรางตัวตน การสืบสวนคดี การก่อการร้ายไซเบอร์ ลักษณะนี้จึงเปรียบเสมือนการ “งมเข็มในมหาสมุทรดิจิทัล”
กฎหมายในมือ บทลงโทษที่รอผู้ก่อกวน
หลายคนอาจสงสัยว่า โทษของการโพสต์ขู่ในเกาหลีใต้คืออะไร? การกระทำดังกล่าวไม่ถือเป็นแค่เรื่องล้อเล่น แต่เป็นคดีอาญาร้ายแรง ภายใต้กฎหมายเกาหลีใต้ ผู้ที่โพสต์ข้อความข่มขู่ในลักษณะนี้จะถูกตั้งข้อหา “ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน” (Obstruction of Performance of Official Duties) ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี หรือปรับสูงสุด 15 ล้านวอน (ประมาณ 400,000 บาท) นอกจากนี้ ยังอาจถูกฟ้องร้องทางแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากการระดมกำลังของเจ้าหน้าที่อีกด้วย
ผลกระทบต่อ “ซอฟต์พาวเวอร์” และความกังวลของนักท่องเที่ยวไทย
เกาหลีใต้ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการสร้าง “ซอฟต์พาวเวอร์” ผ่าน K-Pop, ซีรีส์, อาหาร และแฟชั่น ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยเฉพาะชาวไทยที่เดินทางไปเยือนเกาหลีใต้เป็นอันดับต้นๆ ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ตาม ภาพลักษณ์ด้าน ความปลอดภัยสาธารณะ ที่เริ่มสั่นคลอน อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
คำถามยอดฮิตในกลุ่มนักท่องเที่ยวไทยอย่าง “ไปเที่ยวเกาหลีปลอดภัยไหม 2568” เริ่มมีน้ำหนักมากขึ้น ความถี่ของข่าว ขู่วางระเบิดโซล และเมืองอื่นๆ สร้างความกังวลที่จับต้องได้
- ความรู้สึกไม่ปลอดภัยในพื้นที่สาธารณะ สถานที่ที่เป็นเป้าหมายของคำขู่ มักจะเป็นแลนด์มาร์กสำคัญที่อยู่ในแผนการเดินทางของนักท่องเที่ยว เช่น ย่านเมียงดง, สถานีรถไฟคังนัม, หรือห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ทำให้นักท่องเที่ยวบางส่วนอาจรู้สึกไม่มั่นใจในการเดินทางไปยังสถานที่เหล่านี้
- ผลกระทบต่อการตัดสินใจ แม้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะยังคงเดินทางไปตามแผนเดิม แต่สำหรับผู้ที่กำลังวางแผนหรือลังเล ข่าวเชิงลบเหล่านี้อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พวกเขาเลือกเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางอื่นที่มีภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยดีกว่า
- การรับรู้ของสื่อ สื่อไทยและสื่อสังคมออนไลน์มักนำเสนอข่าวเหล่านี้อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการรับรู้และตื่นตัวในวงกว้าง ซึ่งอาจขยายผลความกังวลเกินกว่าสถานการณ์จริง
สถิติที่น่าสนใจ คนไทยยังรักเกาหลีใต้ แต่ความปลอดภัยคือคำถาม?
จากข้อมูลขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (KTO) พบว่าจำนวน นักท่องเที่ยวไทยในเกาหลี มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องหลังยุคโควิด-19 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแรงดึงดูดของวัฒนธรรมเกาหลียังคงแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวในระยะหลังเริ่มมีประเด็นเรื่อง “ความปลอดภัย” ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณามากขึ้น
สิ่งที่นักท่องเที่ยวไทยควรทำ
- ติดตามข่าวสารจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ รับฟังประกาศจากสถานทูตไทยในกรุงโซล และสื่อหลักของเกาหลีใต้
- มีสติและสังเกตสิ่งรอบตัว แม้โอกาสเกิดเหตุจริงจะน้อยมาก แต่การระมัดระวังตัวในพื้นที่คนพลุกพล่านเป็นสิ่งที่ดีเสมอ
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันฉุกเฉิน เกาหลีใต้มีแอปพลิเคชันสำหรับแจ้งเหตุฉุกเฉิน (เช่น ‘Emergency Ready App’) ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับชาวต่างชาติ
บทเรียนจากจอคอมพิวเตอร์ สังคมจะรับมือกับภัยคุกคามยุคดิจิทัลอย่างไร?
เหตุการณ์ ขู่วางระเบิดเกาหลีใต้ ครั้งล่าสุดนี้ เป็นสัญญาณเตือนว่าภัยคุกคามในศตวรรษที่ 21 ได้เปลี่ยนรูปแบบไปโดยสิ้นเชิง มันไม่ได้มาจากกองกำลังติดอาวุธเสมอไป แต่อาจมาจาก “มือดี” เพียงคนเดียวที่ใช้คีย์บอร์ดเป็นอาวุธในการสร้างความโกลาหล
บทเรียนและแนวโน้มในอนาคต
- การยกระดับความร่วมมือระหว่างประเทศ การไล่ล่าผู้กระทำผิดที่อยู่ต่างแดน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือด้านกฎหมายและเทคโนโลยีที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างนานาชาติ
- ความรับผิดชอบของแพลตฟอร์มออนไลน์ มีการถกเถียงมากขึ้นถึงบทบาทและความรับผิดชอบของโซเชียลมีเดียในการป้องกันและลบเนื้อหาที่ผิดกฎหมายเหล่านี้อย่างรวดเร็ว
- การสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคม (Social Resilience) การให้ความรู้แก่ประชาชนเพื่อให้สามารถแยกแยะระหว่างข่าวจริงและข่าวลวง รวมถึงการไม่ตื่นตระหนกจนเกินเหตุ คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดที่จะทำให้เป้าหมายของผู้ก่อกวนไม่ประสบความสำเร็จ
บทสรุป ความท้าทายบนเส้นทางสู่ความปลอดภัยที่ยั่งยืน
การที่ตำรวจเกาหลีใต้ไม่พบวัตถุต้องสงสัยหลังการขู่วางระเบิดครั้งล่าสุด ถือเป็นข่าวดีที่น่าโล่งใจ แต่ในภาพใหญ่ มันคือการย้ำเตือนว่าสมรภูมิแห่งความปลอดภัยได้ย้ายเข้ามาอยู่ในโลกออนไลน์อย่างเต็มตัวแล้ว สำหรับเกาหลีใต้ นี่คือความท้าทายครั้งสำคัญในการรักษาสมดุลระหว่างการเป็นชาติมหาอำนาจทางวัฒนธรรม กับการสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวและพลเมืองของตนเอง
สำหรับนักท่องเที่ยวไทย การเดินทางไปเกาหลีใต้ยังคงมีความปลอดภัยในระดับสูง และมาตรการของเจ้าหน้าที่ก็มีความเข้มแข็งและน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม การตระหนักรู้ถึง สถานการณ์ขู่วางระเบิดในเกาหลีใต้ล่าสุด และเข้าใจถึงบริบทของภัยคุกคามออนไลน์ จะช่วยให้เราเดินทางได้อย่างมีสติและเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันได้ดียิ่งขึ้น เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ความปลอดภัยไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียงฝ่ายเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับความไม่ประมาทของตัวเราเองด้วย
แหล่งที่มาจาก : am2con